ผู้บริหารบริษัทขนาดย่อม พร้อมหน้าเบนเข็มสู่พลังงานทุกรูปแบบ “เดมโก้” เห็นชัดเจนสุดหลังรุกผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมเต็มสูบ ขณะ “กันกุลฯ” ลุยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในพม่า ส่วน “ไอโดรเท็ค” เร่งศึกษาพลังงานทดแทนเล็งพม่าเป้าหมายต่อยอดธุรกิจ ส่วน “อินเตอร์ลิงค์ฯ” ศึกษามาระยะหนึ่งแล้วรอจังหวะความเหมาะสม ด้าน “เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธฯ” บุกเข้าลงทุนทยอยซื้อเหมืองถ่านหินต่อเนื่อง ล่าสุด เผยเล็งสร้างโรงไฟฟ้าในเหมืองที่อินโดฯ ผู้บริหารล้วนประสานเสียง ต่อยอดธุรกิจลดความเสี่ยงรายได้หลัก และเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน บางแห่งลดต้นทุนด้านพลังงาน-รับปันผล
จากการสัมภาษณ์ และติดตามข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง พบว่า ระยะหลังมานี้ หลายบริษัทเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการทำธุรกิจด้านพลังงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทดแทน หรือการสร้างโรงไฟฟ้าที่ต่อยอดจากธุรกิจที่ดำเนิการอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการลดต้นทุนเพราะผลิตเพื่อนำไฟฟ้าใช้เองในโรงงาน แม้อีกบางแห่งอาจผลิตเพื่อจำหน่ายก็ตาม โดยนัยก็หมายถึง การเบนจากธุรกิจหลักที่เคยดำเนินการอยู่ มาสู่อีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างเงิน และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ที่เห็นได้ชัดที่สุดเริ่มแรกๆ นั่น คือ บริษัท เดมโก้ จำกัด (มหาชน) ที่ลุยผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลม และดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จอย่างมากด้วย เห็นได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่อย่างงานสร้างสถานีไฟฟ้า และยังสายส่ง ซึ่งอิงกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
โดยจากการที่บริษัทเริ่มงานในเรื่องของพลังงานคือ โรงไฟฟ้ากังหันลม ส่งผลให้บริษัทต้องปรับเป้าหมายการเติบโตปีนี้แตะ 6.2 พันล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 6 พันล้านบาท นั่นก็เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าอย่างเป็นทางการก่อนกำหนด คือ โครงการห้วยบง 3 ขณะที่โครงการห้วยบง 2 คืบหน้าไป 80% แล้ว และจะจ่ายไฟฟ้าขายสู่ระบบได้มกราคม 56 ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เร็วจากแผนเดิมที่คาดว่าจะขายได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 56 ซึ่งนั่นก็หมายถึง เงินรายได้จะเข้ามาสู่บริษัท แม้การรับรู้รายได้จากโครงการนี้เป็นเงินปันผล เพราะเป็นการร่วมลงทุนแต่ก็จะได้รับเงินดังกล่าวปีละเกือบ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากการที่จะเกิดประชาคมอาเซียน ผู้บริหาร DEMCO มองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนรวมทั้งการขยายงานของบริษัทด้วย เพราะความชำนาญในการเป็นผู้ประกอบการด้านสายส่งและสร้างสถานีเพื่อส่งกระแสไฟฟ้าให้แก่ลูกค้า และในอนาคตจะมีการร่วมมือกันเป็น ASIAN SMART GRID เป็นการสร้างโครงการระบบสายส่งและสถานีเชื่อมกันเพื่อส่งกระแสไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึงในละแวกอาเซียน และ DEMCO ในฐานะที่ชำนาญก็มีโอกาสจะเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านได้ต้องกังวล
“ตอนนี้ภาพยังไม่ชัดเจนหรอกครับ แต่เบื้องต้นผมมองว่า ถ้าเราจะเข้าไปลงทุนก็ต้องไป joint venture กับผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆ ครับ เราต้องมาคุยเรื่องแผนงานของเราอีกครั้ง”
โดยปกติ DEMCO ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้เฉลี่ยไว้ที่ปีละไม่เกิน 30% แต่ปี 55 นี้การเติบโตจะสูงถึงเกือบ 80% จากปี 54 และในปี 56 อัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นอกจากนี้ ยังมี บริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ที่เดินหน้าอย่างเต็มสูบในการขยายงานด้านพลังงานทดแทนเต็มตัว นั่นคือโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และในอนาคตจะขยายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ซึ่งมูลค่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ สูงถึง 2,390 บาท อันจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโต และการขยายตัวด้านธุรกิจพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ขนาด 30.9 เมกะวัตต์ ซึ่ง GUNKUL ได้ร่วมลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้ว
ขณะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนั้น จะเข้าไปลงทุนในพม่า เพราะมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจดังกล่าว เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต ซึ่งปัจจุบัน ได้รับสัมปทานแล้ว 3 รัฐ จำนวน 1,000 เมกะวัตต์ และหากดำเนินการแล้วเสร็จจะถือเป็นการต่อยอดธุรกิจในประเทศพม่า จากปัจจุบันที่มีเฉพาะธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเท่านั้น
ด้าน บริษัท ไฮโดรเท็ค จำกัด (มหาชน) หรือ HYDRO ที่แม้ว่าแรกเริ่มพื้นฐานของบริษัทจะเพื่อดำเนินธุรกิจรับก่อสร้าง และรับบริหารจัดการงานวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม หรืออีกนัยหนึ่งคือ การจัดการบริหารน้ำอย่างครบวงจรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเล หรือแม้แต่การรีไซเคิลน้ำก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ถนัด ดังนั้น การเล็งที่จะไปลุยงานแบบนี้ในอินโดนีเซีย ก็เป็นอีกแผนการลงทุนหนึ่งของ HYDRO ที่จะมุ่งไปในปีนี้เพราะมองถึงศักยภาพ และการเติบโตอีกทั้งความต้องการน้ำที่จะรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของอินโดนีเซีย รวมถึงการที่เปิดเสรีประชาคมอาเซียน ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่จะทำให้ต้องมุ่งเข้าไปลงทุนทำงานในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้
ขณะอีกหนึ่งการลงทุนก็ไม่พ้นธุรกิจพลังงานในประเทศลาวของโครงการไฮโดรเพาเวอร์ มูลค่าโครงการ 500-1,000 ล้านบาท ซึ่งแผนเริ่มแรกนั้น HYDRO คาดว่าอาจร่วมไปกับพันธมิตร อย่าง บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น(TRC) บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ (UAC) และ บมจ.ผลธัญญะ (PHOL) เป็นลักษณะการร่วมทุน หรือหากมีกฎที่จะต้องให้นักลงทุนท้องถิ่นร่วมถือหุ้นด้วยก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งการร่วมลงทุนดังกล่าวไม่ใช่ปัญหา หากแต่ต้องขึ้นอยู่กับภาวะ และความเหมาะสมในการลงทุนช่วงนั้นๆ ด้วย เบื้องต้น ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
โดยการดำเนินงานนั้น HYDRO ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ปีละไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งการเข้าประมูลงานในประเทศยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะยังมีเทศบาลในประเทศอีกไม่น้อยรอให้เข้าหางานได้ต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากข้อจำกัดเรื่องการลงทุนของ การประปาส่วนภูมิภาค และส่วนหนึ่งเพราะ HYDRO ต้องการให้สัดส่วนรายได้จากลงทุนโครงสร้าง 50% และงานรับเหมาและบริหาร 50% ซึ่งก่อนจะถึงจุดนั้นรายได้จากการลงทุนโครงสร้างจะค่อยๆ เห็นความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะขยับเพิ่มแตะ 10% ในปี 57 และเป็น 20% ในปี 58 ขณะที่อัตราการเติบโตรวมของบริษัทจะอยู่ที่ปีละ 30% รวมทั้งปี 55 ด้วย ส่วนตัวเลขมาร์จิ้นจากปีนี้อยู่ที่ 6-7% ก็จะพยายามทำให้สูงเกิน 7% ในอนาคตอันใกล้นี้
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท อินเตอร์ลิงค์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ที่มองหาโอกาสที่จะลงทุนทำธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสนใจ และอยู่ในระหว่างการศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนโครงการจะเกิดได้เมื่อไรนั้น ถือว่าไม่เร่งรีบเพราะหากทุกอย่างพร้อมก็ลงทุนได้ เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุน นอกจากนี้ ILINK ยังมีอีกหลายโครงการเพื่อแผนงานในอนาคต เพื่อแตกไลน์ธุรกิจมากขึ้น ซึ่งมีอยู่ 2-3 ธุรกิจแต่ไม่ได้รับการเปิดเผยจากผู้บริหาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด และหาข้อมูลเพิ่มเติม
“เราต้องสนใจ และหาความรู้เข้าไว้ แต่ยังไม่ได้อยู่ในแผนของเรา แต่เป็นการเตรียมพร้อมไว้มากกว่ารอโอกาส และจังหวะที่เหมาะสมเช่นเดียวกับธุรกิจพลังงานทดแทนที่เราศึกษามาระดับหนึ่งแล้ว แต่ขณะนี้ การลงทุนหนักๆ เพิ่มเติมก็ยังขยับยาก ส่วนเงินทุนอื่นๆ เราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน เพราะเรามีหนี้ระยะยาวน้อยมาก”
ล่าสุด ที่บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH หลังจากพยายามซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียเพื่อสำรองถ่านหินไว้เป็นวัตถุดิบในการขายให้แก่ลูกค้า และจากการที่บริษัทได้เข้าลงทุนในซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ PT.Hary Niaga ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในอินโดนีเซีย และได้รับสัมปทานประเภท Izin Usaha Pertambanhan Eksplorasi (IUP Exploration) จากรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทจะขอเข้าถือหุ้นใน PT.Hary Niaga 100% จากผู้ถือหุ้นเดิมของ PT.Hary Niaga ทั้งสิ้นไม่เกิน 3,694,800,000 บาท จากผู้ถือหุ้นของ PT.Hary Niaga ซึ่งมูลค่าหุ้นที่ซื้อคำนวณจากปริมาณสำรองถ่านหิน (Reserve) ไม่เกิน 40 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีแผนที่จะเข้าซื้อสัมปทานจากผู้ขายรายเดิมในเหมืองถัดไป ซึ่งได้มีการเจรจาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเป็นการรองรับ Mission ตามแผน 5 ปีข้างหน้า และในขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการสร้างโรงไฟฟ้าในเหมืองถ่านหิน เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่รัฐบาลประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแผนในอนาคตในการต่อยอดธุรกิจ