xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.ระส่ำหลัง “เพื่อไทย” ใช้รัฐตำรวจไล่ถล่ม พลิกเกมสู้พบ “3 จุดอ่อน” ปูแดง-เตรียมเอาคืนเชื่อล้มรัฐบาลได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จับตาเพื่อไทย เปิดเกมถล่ม ปชป.แค่เปิดศักราชใช้ขุนพลไล่บี้หนัก “มาร์ค-สุเทพ-สุขุมพันธุ์” เชื่อ แผนร้ายไม่ใช่แค่ดิสเครดิต แต่ทุกวิธีมุ่งทำลายเส้นทางการเมือง คนใน ปชป.เผย เพื่อไทยได้เปรียบจากความเป็นรัฐตำรวจ ทั้งกระบวนการสอบสวน-สั่งฟ้อง อีกทั้งยังใช้วิธีทางภาษากฎหมายหวังให้ “มาร์ค” หลุดสมาชิกสภาพ ส.ส.มั่นใจคน ปชป.จะโดนเล่นงานอีกหลายระลอก ยอมรับพรรคสะเทือนแรง แต่จะเร่งแก้ด้วยการให้ขุนพลระดับกลางออกมาแสดงบทบาททางการเมือง และตรวจสอบรัฐบาลให้เข้มข้น 3 ประเด็นหลักที่รัฐบาลเพื่อไทยจะสะดุดขาตัวเอง

เริ่มศักราชปี 2556 งานก็เข้าพรรคประชาธิปัตย์ไปเต็มๆ ด้วยการรุกไล่อย่างเต็มที่ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ประเดิมด้วยการพาดหัวข่าว “บิ๊กโอ๋” เซ็นคำสั่งแรกปี 56 ถอด “อภิสิทธิ์” จากข้าราชการทหาร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1/2556 เพิกถอน นายอภิสิทธิ์ ออกจากข้าราชการทหารระดับสัญญาบัตร และห้ามใช้คำนำหน้าชื่อว่า ร.ต.

แม้ว่าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่เคยใช้ตำแหน่งทางการทหาร หรือใช้ความเป็นทหารสัญญาบัตร มาเป็นประโยชน์ทางการเมืองเลย และแม้จะมีการขุดเรื่องการหนีทหารที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ 26 ปีมาแล้ว เพราะเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2530 ก็ตาม

ผลที่พรรคเพื่อไทยอยากได้ จึงเป็นเพียงการ “ดิสเครดิต” เต็มๆ ไปที่ตัว อภิสิทธิ์ เท่านั้น

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ มีการบริหารแบบระบบรวมศูนย์ไว้ที่ “นายอภิสิทธิ์” เตะตัดขาอภิสิทธิ์คนเดียวจึงสะเทือนไปทั้งพรรค!

พร้อมๆ กับการถอดยศนายอภิสิทธิ์ เขายังต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดี 99 ศพ ในฐานะนายกรัฐมนตรี คู่กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาในการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 2553
 
ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่แปรพักตร์ไปอยู่ข้างสีแดงเรียบร้อย ก็แง้มด้วยว่าเรื่องคดี 99 ศพนี้ อาจจะมีการพิจารณาเป็นรายคดี จะมีการสอบสวนการตายของแต่ละคน และขณะนี้มีมากกว่า 30 คดี ซึ่งถ้า นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เข้าข่ายความผิดในการเซ็นคำสั่งจริง คดีนี้ ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ก็จะโดนคดีอ่วมแน่

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะศึกการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กำลังจะเกิดขึ้นกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ศึกระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์จึงเข้มข้นมากขึ้นไปอีก เพราะประชาธิปัตย์ชนะคะแนนนิยมในส่วนตัวพรรคไปประมาณ 14-15% แต่พรรคเพื่อไทยตีตื้นคะแนนนิยมมาด้วยคะแนนนิยมตัวบุคคลของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่มีคะแนนนิยมนำหน้า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในฝ่ายผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของฝั่งประชาธิปัตย์อยู่ประมาณ 10%

เมื่อมีช่องให้ได้คะแนนเสียงที่เพิ่มมากขึ้นจากคะแนนนิยมตัวบุคคล พรรคเพื่อไทยจึงเปิดปฏิบัติการรุกไล่เพื่อดิสเครดิตไปยัง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ขณะนี้เพิ่งถูกดีเอสไอ แจ้งข้อหากรณีต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก รมว.มหาดไทย และต้องเข้ารับข้อหา 9 มกราคมนี้

ยิ่งเข้าใกล้วันสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.เข้าไปทุกที จึงสุ่มเสี่ยงว่าจะลงสมัครไม่ได้ เพราะตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร 2528 และ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2545 ระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไว้ว่าต้องไม่เป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษา และถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลที่เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น ในปีนี้พรรคประชาธิปัตย์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่นั่งลำบาก!

เกมจะพลิกผันยังไง ในเมื่อแววออกแล้วว่าปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะถูกไล่บี้อย่างหนักจากคู่แข่งที่ได้เปรียบจากความมีอำนาจทั้งเงินทั้งคนเพียบพร้อมในมือ

 
รัฐตำรวจมีอำนาจ!

สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ จึงเป็นเหตุและผลสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปิดเกมสู้พรรคเพื่อไทยเพื่อให้คนและพรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่ต่อไป?

แหล่งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความจริงแล้วสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์โดนไล่บี้จากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ต่างจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเท่าไร โดยเฉพาะคดี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน โดนคดีมาก่อนในสมัยเป็นผู้ว่าฯ กทม.จนต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ใหม่

สิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นได้ชัด คือ ความเป็นรัฐตำรวจของรัฐบาลนี้ เป็นสิ่งที่เห็นว่านับวันยิ่งเด่นชัด และพรรคเพื่อไทยใช้จุดแข็งนี้ในการทำลายคู่แข่ง

กล่าวคือ ในการทำลายคู่ต่อสู้โดยการใช้คดีความ จะมี 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ สอบสวนโดยตำรวจ สั่งฟ้องโดยอัยการสูงสุด และตัดสินโดยศาล

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ คุมอำนาจฝ่ายตำรวจได้หมด ดังนั้น แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาล แต่คดีอะไรก็ตามที่ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายพรรคเพื่อไทย กระบวนการสอบสวนในขั้นตอนของตำรวจจึงมักจะล่าช้า และหลักฐานอ่อน

ในเวลานี้จึงเป็นเรื่องที่กลับกัน เมื่อฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจัดการคู่แข่งทางการเมืองด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ดังนั้น ความที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ คุมอำนาจฝ่ายตำรวจไว้ได้ การทำหลักฐานในส่วนนี้จึงมีการทำกันอย่างรวดเร็ว และหลักฐานค่อนข้างหนักแน่น เมื่อผ่านไปที่กระบวนการสั่งฟ้องโดยอัยการสูงสุด ก็มักจะมีการสั่งฟ้อง ดังนั้น ฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีทางเดียว คือ ต้องหวังพึ่งการตัดสินของอำนาจศาล ที่คิดว่ายุติธรรมที่สุด

แต่ปัญหาที่ประชาธิปัตย์เจอไม่ใช่แค่นั้น!

แหล่งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังทำ ไม่ใช่แค่ดิสเครดิตกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องการมากกว่านั้น

การมุ่งดำเนินคดี นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ โดยใช้วิธีการทำคดีแบบไม่ใส่ตำแหน่ง ใส่แต่ชื่อ คือไม่ได้ต้องการฟ้องในขณะดำรงตำแหน่ง แต่ต้องการฟ้องในฐานะส่วนตัว ทำให้ทั้ง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ไม่สามารถใช้ช่องทางในส่วนของรัฐในการแก้คดี แต่ต้องใช้เงินส่วนตัวในการดำเนินคดี

“คดีมันไม่ใช่น้อย มันเยอะมาก พอแยกย่อยแล้ว เราดูแล้ว คุณอภิสิทธิ์ และ คุณสุเทพ จะโดนเป็น 2,000 กว่าคดี แล้วคดีอาญาก็เป็นคดีที่จำเลยจะต้องไปศาลทุกคดีเอง ดังนั้นแม้จะบริสุทธิ์ แต่กระบวนการที่ต้องไปสู้คดีนั้น ก็ทำให้ทั้งสองคนต้องเดินทางไปศาลอาญา จนกระทั่งไม่มีเวลาทำอย่างอื่น”

ปัญหานี้ทำให้ขณะนี้ นายสุเทพ ต้องตั้งสำนักงานทนายความส่วนตัว และมีทนายความในบริษัทกว่า 30 คน เพื่อสู้คดีให้ทั้งนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เอง
เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน!

สิ่งที่เป็นปัญหาอีกอย่าง คือ เมื่อเรื่องการดำเนินคดีกับบุคคลสำคัญของพรรคเป็นเรื่องใหญ่ ในพื้นที่สื่อต่างๆ จึงสนใจเรื่องของคุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ หรือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มากกว่าเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์จะแถลงข่าว หรือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ กระบวนการนี้กำลังเสียไป

“เราไม่สามารถตรวจสอบอำนาจรัฐให้ประชาชนทราบได้เลย เพราะพื้นที่สื่อสนใจแต่ประเด็นคดีความ ตรงนี้ทำให้กระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐอ่อนแอ รัฐบาลได้ประโยชน์ทั้งดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์และทำให้กลไกตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลกลายเป็นจุดอ่อนไปพร้อมๆ กันด้วย”

นอกจากนี้ฝ่ายรัฐบาลยังเดินเกมไล่บี้พรรคประชาธิปัตย์แบบหวังผลหลายทอด

“ความได้เปรียบในการเป็นรัฐตำรวจ ทำให้เขาทำอะไรได้ง่ายๆ แต่เขาไม่ได้ต้องการแค่ดิสเครดิต เขาเล่นแรงกว่านั้น”

 
ถล่ม “2 บิ๊ก” ปชป.เป้าหมายให้หลุดเส้นทางการเมือง

โดยเฉพาะคดี 99 ศพที่กล่าวมา ทำให้ นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ต้องวิ่งเป็นหนูติดจั่น เพื่อแก้ปัญหาคดีความตัวเองจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ได้พื้นที่ข่าวในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลก็ทำได้ไม่เต็มที่

ประเด็นดังกล่าวนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดว่านายธาริตจะเล่นแรงขนาดนี้ ถึงขนาดใช้ช่องได้เปรียบทางกฎหมายฟ้องเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานั้นเป็นการกระทำในหน้าที่

“คุณธาริตเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์หนักเกินไป เห็นได้ชัดว่าคนที่สั่งมาเขาไม่ได้หวังแค่ดิสเครดิต”

เช่นเดียวกับกรณีถอดยศ นายอภิสิทธิ์ ของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ที่เป้าหมายคือต้องการให้นายอภิสิทธิ์หลุดจากสมาชิกภาพสภาผู้แทนราษฎร

“การถอดยศต้องดูข้อความ เขาใช้วิธีการใช้ภาษาโดยพยายามให้เป็นการประพฤติมิชอบในวงราชการ ทำให้โดนไล่ออก ส่วนนี้ไม่ใช่แค่ถอดยศ แต่จะหมดสมาชิกภาพในสภาผู้แทนราษฎรด้วย เขาวางแผนซ้อนหลายชั้น”

คำถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ สะเทือนไหม?

แน่นอนว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังสะเทือนอย่างหนัก เพราะหัวเรี่ยวหัวแรงของพรรคต้องมาติดกับดักทางคดีความ และยิ่งรัฐบาลนี้เป็นรัฐตำรวจ ยิ่งทำให้ในกระบวนการสอบสวน พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งเสียเปรียบ

จุดนี้พรรคประชาธิปัตย์ ประเมินแล้วว่า จะมีคนอื่นในพรรคประชาธิปัตย์ที่โดนคดีอีกเป็นรายต่อไปจากความได้เปรียบในการเป็นรัฐตำรวจของรัฐบาลนี้เอง

“ปีนี้เราจะโดนหนัก และคดีเยอะ ยังไม่รู้ว่าใครจะโดนต่อไป แต่โดนเยอะแน่ เพราะเขาเป็นรัฐตำรวจ มันได้เปรียบ”

สำหรับการแก้เกมของพรรคประชาธิปัตย์นั้น แหล่งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังเชื่อมั่นในกระบวนการศาลว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ที่ถูกกล่าวหาจะได้รับความยุติธรรม ในส่วนของพรรคเองต่อไปสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือขุนพลระดับกลางของพรรคจะต้องออกมามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

ทั้งนี้ ในส่วนของการดิสเครดิตและการเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ไม่เชื่อว่า จะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคมากนัก เพราะอำนาจรัฐที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเกินไป บางทีก็เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลนี้ อีกทั้งแผลของรัฐบาลนี้ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประชานิยมที่กำลังสร้างปัญหาหนี้สาธารณะให้ประเทศ ปัญหาการทุจริตที่หนักข้อขึ้นทุกวัน อีกทั้งการไม่มีผลงาน ตรงนี้เป็นแผลที่จะกลับมาทำให้พรรคเพื่อไทยสะดุดขาตัวเอง

เพราะพรรคเพื่อไทยคงลืมไปว่า ทางการเมือง ผลงานรัฐบาลคือตัวชี้วัด!

อย่างไรก็ดี พรรคประชาธิปัตย์ จะหนีการรุกไล่ และพลิกขึ้นมาเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะกรณีเขาพระวิหาร ที่เอ็มโอยู 2543 เป็นปัญหาก็เป็นแผลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังไม่แก้ไข

กลางปีนี้จะมีการสอบสวนคดีเขาพระวิหาร และปลายปีจะมีการตัดสิน

เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ติดกับดักทางการเมืองอีกกับดัก เพียงแต่กับดักนี้ประชาธิปัตย์สร้างเอง และผลเสียหายมันร้ายแรงยิ่ง!

ดังนั้น โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะพลิกฟื้นตัวเองขึ้นมาจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายเลย!

กำลังโหลดความคิดเห็น