“รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ “ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์” วิเคราะห์ถึงเบื้องหลังความต้องการใช้อู่ตะเภาของอเมริกาและผลกระทบที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่าการยินยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาย่อมสร้างความหวาดระแวงให้แก่กลุ่มต่อต้านอเมริกา รวมถึงมหาอำนาจอย่างจีนที่เป็นคู่แข่งกับอเมริกาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและแนวความคิดทางการเมือง รวมถึงตะวันออกกลางและชาติอาเซียนที่มีความทรงจำเลวร้ายต่อสนามบินอู่ตะเภาที่อเมริกาเคยใช้เป็นฐานบินทิ้งระเบิดในสงครามอินโดจีน บาดแผลที่ยังฝังรากลึกในความทรงจำของผู้คน นอกเหนือไปจากทีท่าของรัฐบาลที่แสดงความโปร่งใสต่อสาธารณะได้ไม่ดีพอ

ไทยไม่ทันเกมสหรัฐฯ หรือมี ‘ผลประโยชน์ลับ’ เหนืออู่ตะเภา
รศ.ดร.ปณิธาน มองว่าโครงการความร่วมมือดังกล่าวนั้น ผู้นำไทยควรทำให้มีความชัดเจนและโปร่งใส เพราะทุกวันนี้ การเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งการเมืองในระดับโลกกำลังเกิดสภาวะใหม่ ซึ่งก็คือเกิดการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ และเกิดการสร้างอิทธิพลระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศพันธมิตร ซึ่งในภูมิภาคเอเชียก็มีพันธมิตรสำคัญคืออินเดีย ออสเตรเลียและสมาชิกในอาเซียนบางประเทศ ขณะที่ในบางประเทศแถบทะเลจีนตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นก็มีการรวมกลุ่มกันเป็นพันธมิตรทางการเมืองของสหรัฐฯ อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีจีนที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
ดังนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่มีการแข่งขันแบบนี้ การที่ไทยจะเปิดพื้นที่ให้มหาอำนาจเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งแม้จะเป็นโครงการที่ดี แต่เราก็ต้องระมัดระวังต่อบรรยากาศที่ถูกส่งออกไปว่าเราเป็นพันธมิตรกับใครหรือไม่?
อีกประเด็นหนึ่งคือ ความร่วมมือดังกล่าวไปส่งเสริมศักยภาพด้านต่างๆ ตามที่ระบุไว้จริงๆ หรือไม่?
ประเด็นสำคัญต่อมา ในทัศนะของดร. ปณิธานก็คือความโปร่งใสของวัตถุประสงค์ในการใช้สนามบินอู่ตะเภา ทั้งตั้งคำถามว่าเป็นการสร้างเสริมศักยภาพให้แก่การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือมีวัตถุประสงค์ทางการทหารแอบแฝง
“เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลทางอากาศที่ได้รับการค้นคว้าจะไม่ถูกจะนำไปเสริมสร้างศักยภาพทางการทหาร เช่น การตรวจจับ การสื่อสารในอวกาศ การสร้างระบบการสู้รบใหม่ในอวกาศ เครื่องบินไร้คนขับแบบใหม่ หรือแม้แต่กองกำลังของสหรัฐฯ ที่เข้ามาเพื่อป้องกันภัยพิบัตินั้น แม้จริงๆ แล้ว จะเป็นโครงการที่เรานำแสนอต่อที่ประชุมอาเซียนเมื่อประมาณเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีเวียดนามและจีน ให้ความสนใจยินดีร่วมด้วย แต่โครงการดังกล่าวอเมริกาก็กลับให้ความสนใจและเดินหน้าผลักดันขอเข้ามาก่อน เอาทหารเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งในหลักการยอมรับว่าดี แต่ในความเป็นจริง เมื่อมีทหาร มีอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาแล้ว แม้จะไม่ใช่การรบแต่มันจะสร้างให้เกิดบรรยากาศความไม่ไว้วางใจกับเราไหม”
“เคยมีคนถามท่านรมต. กลาโหม ว่าไทยเสียเหลี่ยม เสียเชิงอเมริกาหรือไม่ ท่านก็ยืนยันว่าไม่ แต่คำว่าไม่นี่ ต้องอธิบายด้วยว่าข้อตกลงที่เราจะไม่เสียเปรียบนี่คืออะไร แต่ในทางการฑูต ถือว่าอเมริกา ดำเนินการเชิงรุก เราอยากให้สัญญาณออกไปไหม? ว่าอเมริกามาใช้ฐานทัพ ถ้าไม่ใช้ฐานทัพ ไปเช่าสนามบินใดสนามบินหนึ่งได้ไหม เพราะนี่เป็นสนามบินที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ว่ามีเครื่องบินเป็นร้อยลำบินขึ้นไป แล้วทิ้งระเบิดลงมาใส่ประเทศเพื่อนบ้าน
“เหตุใดต้องใช้สนามบินนี้ ถ้าเขาบอกว่าไม่มีอะไรต่างกันไม่ว่าสนามบินไหน ก็ต้องมีการตรวจสอบการส่งสัญญาณที่เข้มข้นมาก รวมถึงตรวจสอบความตั้งใจของฝ่ายบริหารด้วย ซึ่งการขอความร่วมมือนั้นมีมาตั้งแต่สมัยปลายรัฐฐาลชุดที่แล้ว แต่อยู่ในช่วงเลือกตั้ง ข้อร้องขอจึงถูกส่งให้แก่คณะทำงาน ส่วนในระดับปฏิบัติงานมีการประชุมกันมาหลายกระทรวง แต่ในระดับฝ่ายบริหารยังไม่มีการให้ข้อมูลแก่ประชาชน และไม่แจ้งแก่สภาเลยจนถึงวันนี้ ดังนั้น จึงทำให้เกิดข้อกังขาว่ามีอะไรลึกๆ กว่านี้หรือเปล่า?”

สหรัฐฯ เดินเกมรุก ไทยต้องตั้งรับให้ดี
นอกจากยกตัวอย่างถึงเงื่อนไขที่อาจเสนอต่อสหรัฐฯแล้ว รศ.ดร.ปณิธาน ยังได้ย้ำถึงรัฐบาลว่าตอนนี้เราเป็นเจ้าของพื้นที่ เรามีข้อได้เปรียบ ดังนั้นต้องกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรีบเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นจุดกึ่งกลางของอาเซียน ทั้งยังอยู่ใกล้จีนกับอินเดียและเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจังนับแต่เกิดสงครามเวียดนาม
“ขณะนี้ โครงการเก็บตัวอย่างทางอวกาศนี่พร้อมที่จะบินแล้ว อุปกรณ์บางอย่างทยอยมาแล้ว ส่วนโครงการที่สองคือการบรรเทาภัยพิบัตินั้น เราจะทำอย่างไร? เพราะเขามีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งนี่แหละทำให้เกิดความหวาดระแวงในกลุ่มต่อต้านอเมริกาว่าสิ่งที่อเมริกาได้จะทำให้เขาลำบาก ดังนั้น ไทยต้องดำเนินการให้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ภาพที่ถูกส่งออกไปแล้วว่าไทยกับอเมริกามีความร่วมมือกันมากขึ้นและอเมริกาได้กลับเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์แล้ว และเดินโครงการเร็วมาก เราต้องตั้งรับแล้วว่าประเทศต่างๆ จะมองอย่างไร มันจะทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้น อาเซียนและตะวันออกกลางใกล้กันมาก ซึ่งอเมริกาก็ทำให้เห็นว่าเขาเป็นมิตรกับไทย เขาจะทำอะไรไทยก็ไม่ว่าอะไร ทำให้ประเทศเหล่านั้นมองไทยด้วยสายตาที่มีคำถาม”
ครั้นถามว่าเมื่อไทยถูกดึงเข้าไปร่วมเกมมหาอำนาจเช่นนี้แล้ว เราควรจะวางทีท่าอย่างไร? รศ.ดร. ปณิธาน มองว่า สิ่งจำเป็นที่สุดก็คือการตั้งใจตรวจสอบทุกฝ่ายอย่างจริงจัง และควรกำหนดกรอบหรือเงื่อนไขที่ไม่ให้เราเสียเปรียบ
“การที่คณะรัฐมนตรีชะลอไว้ก่อนก็นับเป็นการส่งสัญญาณให้อเมริการู้ว่าเราขอคิดหน่อย แสดงว่าเราเริ่มคิดไม่ทำตามที่อเมริกาเร่งรัดนัก ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าไม่ใช่ขอแล้วจะได้ทันที คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาก็ต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างจริงจัง เพราะเราต้องการองค์ความรู้ที่ถาวร ไม่ใช่มาเก็บตัวอย่างแล้วก็ไปเลย ต่อรองให้เขาพัฒนาศักยภาพให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ หรือทำอะไรที่มันให้องค์ความรู้ถาวร ไม่ใช่บินมาแล้ว ใช้อุปกรณ์แล้ว ทิ้งบางอย่างไว้ให้เราใช้ต่อ แล้วเราก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี ต้องมีการแลกเปลี่ยน มีนักวิทยาศาสตร์มาพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย หรือต้องวางเงื่อนไขจำกัดรัศมีบิน จำกัดวงบินก็เป็นทางออกที่ดี ซึ่งมี 2-3 ประเทศที่เขาไม่ค่อยอยากให้บินผ่าน เราก็ต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ขอลดวงบินเขา ต้องชี้แจงให้ละเอียด”

สัญญาณจากจีน และมิตรประเทศที่ต้องรักษาน้ำใจ
“ปรกติจีนจะพูดภาษาดอกไม้ ถ้าเขาไม่พอใจก็คงไม่ค่อยดอกไม้เท่าไหร่ นั่นเป็นวิธีการแรกๆ นอกจากนั้นจีนก็ยังมีเครื่องมือทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนซึ่งต้องระวังให้ดี เขาสามารถควบคุมจำนวนปริมาณของนักท่องเที่ยวได้ง่าย เขาสามารถควบคุมกิจการการค้าข้ามพรมแดนได้ง่าย ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งหลายประเทศเคยเจอในกรณีที่จีนรู้สึกว่าประเทศเหล่านั้น เอนเอียงไปให้ความสำคัญกับตะวันตก ซึ่งเครื่องมือที่จีนใช้ก็คือเรื่องของการค้าการลงทุน เป็นเครื่องมือที่เขาใช้อยู่เสมอ
“ประเด็นต่อมาที่อาจจะมีบ้าง แต่น้อยมาก นั่นก็คือการใช้กองกำลังทางทหาร เช่นการซ้อมรบ การเคลื่อนย้ายกำลัง การแสดงศักยภาพทางทะเล ประเด็นทั้งสามส่วนนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านจีนกำลังติดตามอยู่แต่ยังไม่ได้สรุปออกมา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทุกท่านกำลังติดตามอยู่สังเกตได้ว่ามีความเคลื่อนไหว แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติหรือไม่?
ความเคลื่อนไหวทั้งสามประเด็นหลักของจีน ที่ รศ.ดร. ปณิธานเอ่ยถึง ก็คือการเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อการประกาศนโยบายใหม่ของอเมริกาในเอเชีย
“ที่สิงคโปร์ อเมริกาประกาศว่าต่อไปนี้จะกลับมาในภูมิภาคนี้ และภายใน 8 ปี จะเพิ่มกองกำลัง เรือบรรทุกเครื่องบิน โดยจะโยกทหารเรือจากภาคพื้นแอตแลนติกมายังแปซิฟิคให้ได้ประมาณ 60-40 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเมื่ออเมริกาประกาศออกมาแล้ว หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าจีนต้องมีปฏิกิริยาต่อทั้งสามส่วนนี้แน่ แต่จะโยงมาไทยหรือไม่นั้น ต้องแยกอีกที เพราะฉะนั้นต้องรออีกนิดหน่อย สมาคมหอการค้าต่างๆ จะช่วยเราได้เยอะว่าในทางการค้า มีสัญญาณอะไรถูกส่งมาหรือเปล่า?
“ฝ่ายความมั่นคงก็คงจะดูเรื่องการเคลื่อนไหวของกองกำลังให้เราได้ ส่วนทางการฑูต ต้องลองฟังเสียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าเสียงที่ถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างไร ยิ่งเมื่อเราเลื่อนระยะเวลาในการพิจารณาออกไป ผมเชื่อว่าหลายๆ ประเทศรวมทั้งจีน จะตั้งใจกันส่งสัญญาณมาให้เราเพื่อให้ถ่วงดุล กดดัน หรือเพิ่มน้ำหนักในการตัดสินใจของเรา”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อเมริกาก้าวเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น หลายคนอาจมองว่าเพราะทรัพยากรในทะเลจีนใต้และเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในพม่าที่ทำให้อเมริกามองเห็นช่องทางที่จะก้าวเข้ามา แต่ก็ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นด้วย
“เป็นการพยายามที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น พยายามที่จะควบคุมพื้นที่นี้ เพราะอเมริการู้สึกว่าพื้นที่นี้ยังอยู่ในอิทธิพลของอเมริกา ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องของประชาธิปไตย เสรีนิยม เรื่องของสิทธิมนุษยชน รวมทั้งด้านการค้า การลงทุน การทหาร แต่เมื่อจีนเริ่มขึ้นมามีอำนาจ จีนก็คิดว่าประเทศเหล่านี้เป็นหลังบ้านของตัวเอง กอปรกับจีนก็รู้สึกว่าจีนถูกคุกคามด้วยเรื่องของประชาธิปไตยที่ตะวันตกเรียกร้องซึ่งมันไม่ถูกกับคนจีน จีนเขาคิดอย่างนั้น และเมื่อจีนมีศักยภาพมากขึ้น จีนก็พยายามจะเข้ามาในพื้นที่แถบนี้เพื่อให้อิทธิพลของอเมริกาเบาบางลง
“ในทางกลับกันอเมริกาเองก็มองว่าถูกจีนคุกคาม แม้ในทางการค้าการลงทุน ทั้งสองประเทศจะเป็นพันธมิตรกัน และไม่มีแนวโน้มจะแตกหัก แต่ในทางด้านการเมืองการปกครองมันแบ่งขั้วชัดเจน ซึ่งการค้าการลงทุนมันช่วยผสานไม่ให้มีการเผชิญหน้า ต่างจากสงครามเย็น ที่ไม่มีการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในปัจจุบันเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมืองก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
“ดังนั้น หลายประเทศเขาจึงประกาศชัดเจนว่าในเรื่องอิทธิพลทางการเมือง เขาไม่ต้องการอิทธิพลจีน แต่ทางการค้าเขาชอบ เพราะจีนเป็นคู่ค้าหมายเลขหนึ่ง หลายประเทศเขาแยกแยะชัดเจน แต่บางประเทศไม่แยกแยะก็ถูกดึงไปขั้วใดขั้วหนึ่ง ซึ่งปีนี้ บรรยากาศแบบนี้ชัดเจนมาก เพราะจีนเพิ่มงบประมาณทางการทหาร ศักยภาพของจีนวันนี้ยืนยันได้จากการที่จีนปิดล้อมไต้หวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไป ถ้าไต้หวันประกาศเอกราช จีนสามารถเข้าไปยึดครองไต้หวันได้ไม่ยาก ต่างจากหลายปีก่อน ที่กองทัพอากาศของไต้หวันสามารถต่อต้านจีนได้ และจะสร้างความเสียหายให้จีนมาก แต่ตอนนี้ศักยภาพของกองทัพจีนก้าวหน้าไปไกลกว่าไต้หวันมาก พฤติกรรมของไต้หวันในการประกาศเอกราชในทุกวันนี้จึง ลดน้อยลงเยอะ ตรงกันข้าม ไต้หวันลงทุนในจีนเยอะมากที่สุด ซึ่งก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น
“แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทำให้จีนมั่นใจและรุกสู่ทะเลจีนใต้มากขึ้น ทำให้จีนเผชิญหน้ากับเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างที่เราเห็น ทำให้อาเซียนเรียกร้องต่อจีนให้ปฏิบัติตัวให้ดีในทะเลจีนใต้ และใช้แนวทางของการปฏิบัติตัวในการไม่ใช้กำลัง ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ทำให้อเมริกันเห็นช่อง และประกาศทันทีว่าจะกลับมาใหม่ ซึ่งหลายประเทศก็ชอบ เพราะเห็นว่าอเมริกาจะมาช่วย เพื่อลดอิทธิพลของจีน และเมื่อโครงการเหล่านี้เกิดขึ้น บรรยากาศที่ว่านี้มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ดังนั้น เราต้องกำหนดกรอบของเราให้ชัดเพื่อป้องกันตัวเราเอง และต้องถ่วงดุลข้อดีข้อเสียต่างๆ เพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทุกประเทศกำลังโน้มน้าวไทยให้ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับตน”

“ดังนั้น ก่อนที่เราจะเปิดพื้นที่ตำนานสนามบินที่ทุกคนรู้จัก เราก็ควรจะถามเพื่อนๆ ในอาเซียนเขาหน่อย เผื่อว่าเขาจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ ยิ่งในตอนนี้มีการขยายเวลาพิจารณาออกไปแล้ว ก็ต้องมีการพูดคุย เราควรจะต้องอาศัยเพื่อนในภูมิภาคอาเซียนให้ร่วมกันตัดสินใจ อเมริกาก็จะได้เห็นว่าเราไม่โดดเดี่ยว เราเองก็อยากให้ทุกคนพอใจ ซึ่งเป็นเรื่องยากครับ ยาก เพราะเราไม่เลือกฝ่าย ไทยมักจะไม่เลือกฝ่ายจนกว่าจะเห็นผู้ชนะ มันจึงยุ่งยากอย่างนี้ ถ้าเลือกก็ง่ายครับ อย่างญี่ปุ่นเขาเลือกไปแล้ว เกาหลีใต้ สิงคโปร์เขาเลือกไปแล้ว เขาก็ตัดสินใจง่าย แต่เราไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น เรารอว่าใครจะชนะ ซึ่งมันก็ยากสำหรับเรา และทุกคนก็รู้ เราจึงถูกกดดันจากทุกฝ่าย ให้อิรุงตุงนัง ถูกเขาเดินเกมเร็ว ซึ่งนี่ก็เป็นข้อเสียของการที่เราพยายามจะรักษาน้ำใจของทุกฝ่าย อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก แต่เพราะเราคิดว่าเราทำแบบนี้แล้วได้ประโยชน์กว่า เพราะในอดีตเราเคยเลือกผิดแล้วหันหลังกลับแทบไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนบ้านเราเขามองออก ดังนั้น การดำเนินการทุกอย่างจึงต้องเป็นระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก”
อู่ตะเภา ที่แห่งนี้ มีตำนาน
นอกจากมุมมองทางการฑูตและเรียกร้องถึงความโปร่งใสที่รัฐบาลต้องแสดงต่อสาธารณะ ทั้งต้องรู้จักชิงความได้เปรียบจากสหรัฐอเมริกาในฐานะเจ้าของพื้นที่แล้ว รศ.ดร.ปณิธาน ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงตำนานบาดแผลของสนามบินอู่ตะเภา ที่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ความทรงจำอันเลวร้ายก็ยังหลอกลอนผู้คนในแถบอินโดจีนอยู่กระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น การยอมให้สหรัฐฯ ใช้พื้นที่แห่งนี้ จึงอาจนำไปสู่ประเด็นอันละเอียดอ่อนทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้โดยง่าย
“ถ้าพูดถึงอู่ตะเภาทุกคนก็นึกออกว่าเป็นฐานทัพอเมริกันมาก่อน มันเป็นตำนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 สนามบินอู่ตะเภาเริ่มต้นชีวิตตนเองด้วยการเป็นฐานทัพที่สำคัญที่สุดฐานทัพหนึ่งของไทยที่ให้อเมริกันใช้ สำหรับให้เครื่องบินขึ้นบินไปทิ้งระเบิดยังประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีนหลายประเทศ แล้วทุกคนก็จำได้ดีว่าเครื่องบินขนาดใหญ่ ทิ้งระเบิดปูพรม ซึ่งระเบิดเหล่านี้ นับๆ ดูแล้ว มากกว่าการทิ้งในสมรภูมิของสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก

“ทุกคนจำได้ดีว่าอู่ตะเภาเป็นยังไง เครื่องบินบินขึ้นเป็นร้อยลำ ทหารอเมริกันอยู่เป็นหมื่นคน และเมื่อสงครามจบไปแล้วก็ยังมีกิจกรรมทางทหารอย่างต่อเนื่อง เช่น มีเครื่องบินมาลง เติมน้ำมัน เพื่อบินไปรบในตะวันออกกลาง บินไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย ในอัฟกานิสถาน ในอิรัก คนก็จำได้ดี เพราะที่มาของมันเป็นอย่างนั้น มีจีไอ มีทหารอเมริกัน มีผู้หญิงไทยอยู่รอบๆ สนามบิน ภาพมันเป็นอย่างนั้น และเมื่ออู่ตะเภากลับมาใหม่ในวันนี้ ภาพเดิมของมันก็กลับมาด้วย สำหรับเพื่อนบ้านเราหลายประเทศ โดยเฉพาะคนไทยหลายๆ คน ที่รู้สึกว่ามันกระทบต่อสังคมและการเมือง"
อย่างไรก็ดี นอกจากความทรงจำอันเลวร้ายแล้ว เคยมีความพยายามทำให้โฉมหน้าเดิมของอู่ตะเภาเปลี่ยนแปลงไป ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
“คือเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ เราก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ให้เป็นประดยชน์ เป็นพื้นที่ที่คอยช่วยเหลือ คอยบรรเทาภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม ทำให้เราเสนอต่ออาเซียน ในปี พ.ศ. 2553 ว่าเราจะพัฒนาใหม่ ให้คนลืมภาพที่ไม่ดี แต่หลังจากนั้นก็มี ‘หลุมดำ’ คืออู่ตะเภาถูกใช้สำหรับการบินไปตะวันออกกลาง การต่อสู้กับกองกำลังก่อการร้าย มันมีรายงานจากอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองหลายคนในอเมริกาว่าเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สอบสวนนักโทษหรือผู้ต้องหาที่เขาจับได้จากการก่อการร้ายในหลายพื้นที่ แต่จะจริงเท็จแค่ไหน ไม่มีใครตอบได้ รัฐบาลไทยก็ปฏิเสธอยู่เสมอในทุกรัฐบาลและก็ไม่ยืนยันว่ามีโครงการแลกเปลี่ยนใช้พื้นที่ทำอะไรบ้าง มันจึงทำให้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ต่อต้านสงครารมก่อการร้ายของอเมริกา รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้มีความทรงจำที่ดี
“อู่ตะเภาจึงเป็นทั้งสถานที่เตือนความจำที่ไม่ดีของหลายๆ คน แต่ก็จุดประกายความหวังใหม่ๆ ที่เราจะเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน เพราะฉะนั้น ความชัดเจน การกำหนดเงื่อนไขและการเปิดเผยให้โปร่งใสตั้งแต่แรกจึงจำเป็นมาก ก่อนที่จะเดินไปไกลกว่านี้แล้วมันคลุมเครือ แล้วก็ดึงเอาภาพลักษณ์เก่ามา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอู่ตะเภาเป็นสนามบินที่เป็นตำนาน มีความซับซ้อน”
…..................
สัมภาษณ์โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
ถ่ายภาพโดย : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ไทยไม่ทันเกมสหรัฐฯ หรือมี ‘ผลประโยชน์ลับ’ เหนืออู่ตะเภา
รศ.ดร.ปณิธาน มองว่าโครงการความร่วมมือดังกล่าวนั้น ผู้นำไทยควรทำให้มีความชัดเจนและโปร่งใส เพราะทุกวันนี้ การเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งการเมืองในระดับโลกกำลังเกิดสภาวะใหม่ ซึ่งก็คือเกิดการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ และเกิดการสร้างอิทธิพลระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศพันธมิตร ซึ่งในภูมิภาคเอเชียก็มีพันธมิตรสำคัญคืออินเดีย ออสเตรเลียและสมาชิกในอาเซียนบางประเทศ ขณะที่ในบางประเทศแถบทะเลจีนตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นก็มีการรวมกลุ่มกันเป็นพันธมิตรทางการเมืองของสหรัฐฯ อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีจีนที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
ดังนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่มีการแข่งขันแบบนี้ การที่ไทยจะเปิดพื้นที่ให้มหาอำนาจเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งแม้จะเป็นโครงการที่ดี แต่เราก็ต้องระมัดระวังต่อบรรยากาศที่ถูกส่งออกไปว่าเราเป็นพันธมิตรกับใครหรือไม่?
อีกประเด็นหนึ่งคือ ความร่วมมือดังกล่าวไปส่งเสริมศักยภาพด้านต่างๆ ตามที่ระบุไว้จริงๆ หรือไม่?
ประเด็นสำคัญต่อมา ในทัศนะของดร. ปณิธานก็คือความโปร่งใสของวัตถุประสงค์ในการใช้สนามบินอู่ตะเภา ทั้งตั้งคำถามว่าเป็นการสร้างเสริมศักยภาพให้แก่การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือมีวัตถุประสงค์ทางการทหารแอบแฝง
“เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลทางอากาศที่ได้รับการค้นคว้าจะไม่ถูกจะนำไปเสริมสร้างศักยภาพทางการทหาร เช่น การตรวจจับ การสื่อสารในอวกาศ การสร้างระบบการสู้รบใหม่ในอวกาศ เครื่องบินไร้คนขับแบบใหม่ หรือแม้แต่กองกำลังของสหรัฐฯ ที่เข้ามาเพื่อป้องกันภัยพิบัตินั้น แม้จริงๆ แล้ว จะเป็นโครงการที่เรานำแสนอต่อที่ประชุมอาเซียนเมื่อประมาณเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีเวียดนามและจีน ให้ความสนใจยินดีร่วมด้วย แต่โครงการดังกล่าวอเมริกาก็กลับให้ความสนใจและเดินหน้าผลักดันขอเข้ามาก่อน เอาทหารเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งในหลักการยอมรับว่าดี แต่ในความเป็นจริง เมื่อมีทหาร มีอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาแล้ว แม้จะไม่ใช่การรบแต่มันจะสร้างให้เกิดบรรยากาศความไม่ไว้วางใจกับเราไหม”
“เคยมีคนถามท่านรมต. กลาโหม ว่าไทยเสียเหลี่ยม เสียเชิงอเมริกาหรือไม่ ท่านก็ยืนยันว่าไม่ แต่คำว่าไม่นี่ ต้องอธิบายด้วยว่าข้อตกลงที่เราจะไม่เสียเปรียบนี่คืออะไร แต่ในทางการฑูต ถือว่าอเมริกา ดำเนินการเชิงรุก เราอยากให้สัญญาณออกไปไหม? ว่าอเมริกามาใช้ฐานทัพ ถ้าไม่ใช้ฐานทัพ ไปเช่าสนามบินใดสนามบินหนึ่งได้ไหม เพราะนี่เป็นสนามบินที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ว่ามีเครื่องบินเป็นร้อยลำบินขึ้นไป แล้วทิ้งระเบิดลงมาใส่ประเทศเพื่อนบ้าน
“เหตุใดต้องใช้สนามบินนี้ ถ้าเขาบอกว่าไม่มีอะไรต่างกันไม่ว่าสนามบินไหน ก็ต้องมีการตรวจสอบการส่งสัญญาณที่เข้มข้นมาก รวมถึงตรวจสอบความตั้งใจของฝ่ายบริหารด้วย ซึ่งการขอความร่วมมือนั้นมีมาตั้งแต่สมัยปลายรัฐฐาลชุดที่แล้ว แต่อยู่ในช่วงเลือกตั้ง ข้อร้องขอจึงถูกส่งให้แก่คณะทำงาน ส่วนในระดับปฏิบัติงานมีการประชุมกันมาหลายกระทรวง แต่ในระดับฝ่ายบริหารยังไม่มีการให้ข้อมูลแก่ประชาชน และไม่แจ้งแก่สภาเลยจนถึงวันนี้ ดังนั้น จึงทำให้เกิดข้อกังขาว่ามีอะไรลึกๆ กว่านี้หรือเปล่า?”
สหรัฐฯ เดินเกมรุก ไทยต้องตั้งรับให้ดี
นอกจากยกตัวอย่างถึงเงื่อนไขที่อาจเสนอต่อสหรัฐฯแล้ว รศ.ดร.ปณิธาน ยังได้ย้ำถึงรัฐบาลว่าตอนนี้เราเป็นเจ้าของพื้นที่ เรามีข้อได้เปรียบ ดังนั้นต้องกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรีบเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นจุดกึ่งกลางของอาเซียน ทั้งยังอยู่ใกล้จีนกับอินเดียและเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจังนับแต่เกิดสงครามเวียดนาม
“ขณะนี้ โครงการเก็บตัวอย่างทางอวกาศนี่พร้อมที่จะบินแล้ว อุปกรณ์บางอย่างทยอยมาแล้ว ส่วนโครงการที่สองคือการบรรเทาภัยพิบัตินั้น เราจะทำอย่างไร? เพราะเขามีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งนี่แหละทำให้เกิดความหวาดระแวงในกลุ่มต่อต้านอเมริกาว่าสิ่งที่อเมริกาได้จะทำให้เขาลำบาก ดังนั้น ไทยต้องดำเนินการให้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ภาพที่ถูกส่งออกไปแล้วว่าไทยกับอเมริกามีความร่วมมือกันมากขึ้นและอเมริกาได้กลับเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์แล้ว และเดินโครงการเร็วมาก เราต้องตั้งรับแล้วว่าประเทศต่างๆ จะมองอย่างไร มันจะทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้น อาเซียนและตะวันออกกลางใกล้กันมาก ซึ่งอเมริกาก็ทำให้เห็นว่าเขาเป็นมิตรกับไทย เขาจะทำอะไรไทยก็ไม่ว่าอะไร ทำให้ประเทศเหล่านั้นมองไทยด้วยสายตาที่มีคำถาม”
ครั้นถามว่าเมื่อไทยถูกดึงเข้าไปร่วมเกมมหาอำนาจเช่นนี้แล้ว เราควรจะวางทีท่าอย่างไร? รศ.ดร. ปณิธาน มองว่า สิ่งจำเป็นที่สุดก็คือการตั้งใจตรวจสอบทุกฝ่ายอย่างจริงจัง และควรกำหนดกรอบหรือเงื่อนไขที่ไม่ให้เราเสียเปรียบ
“การที่คณะรัฐมนตรีชะลอไว้ก่อนก็นับเป็นการส่งสัญญาณให้อเมริการู้ว่าเราขอคิดหน่อย แสดงว่าเราเริ่มคิดไม่ทำตามที่อเมริกาเร่งรัดนัก ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าไม่ใช่ขอแล้วจะได้ทันที คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาก็ต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างจริงจัง เพราะเราต้องการองค์ความรู้ที่ถาวร ไม่ใช่มาเก็บตัวอย่างแล้วก็ไปเลย ต่อรองให้เขาพัฒนาศักยภาพให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ หรือทำอะไรที่มันให้องค์ความรู้ถาวร ไม่ใช่บินมาแล้ว ใช้อุปกรณ์แล้ว ทิ้งบางอย่างไว้ให้เราใช้ต่อ แล้วเราก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี ต้องมีการแลกเปลี่ยน มีนักวิทยาศาสตร์มาพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย หรือต้องวางเงื่อนไขจำกัดรัศมีบิน จำกัดวงบินก็เป็นทางออกที่ดี ซึ่งมี 2-3 ประเทศที่เขาไม่ค่อยอยากให้บินผ่าน เราก็ต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ขอลดวงบินเขา ต้องชี้แจงให้ละเอียด”
สัญญาณจากจีน และมิตรประเทศที่ต้องรักษาน้ำใจ
“ปรกติจีนจะพูดภาษาดอกไม้ ถ้าเขาไม่พอใจก็คงไม่ค่อยดอกไม้เท่าไหร่ นั่นเป็นวิธีการแรกๆ นอกจากนั้นจีนก็ยังมีเครื่องมือทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนซึ่งต้องระวังให้ดี เขาสามารถควบคุมจำนวนปริมาณของนักท่องเที่ยวได้ง่าย เขาสามารถควบคุมกิจการการค้าข้ามพรมแดนได้ง่าย ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งหลายประเทศเคยเจอในกรณีที่จีนรู้สึกว่าประเทศเหล่านั้น เอนเอียงไปให้ความสำคัญกับตะวันตก ซึ่งเครื่องมือที่จีนใช้ก็คือเรื่องของการค้าการลงทุน เป็นเครื่องมือที่เขาใช้อยู่เสมอ
“ประเด็นต่อมาที่อาจจะมีบ้าง แต่น้อยมาก นั่นก็คือการใช้กองกำลังทางทหาร เช่นการซ้อมรบ การเคลื่อนย้ายกำลัง การแสดงศักยภาพทางทะเล ประเด็นทั้งสามส่วนนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านจีนกำลังติดตามอยู่แต่ยังไม่ได้สรุปออกมา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทุกท่านกำลังติดตามอยู่สังเกตได้ว่ามีความเคลื่อนไหว แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติหรือไม่?
ความเคลื่อนไหวทั้งสามประเด็นหลักของจีน ที่ รศ.ดร. ปณิธานเอ่ยถึง ก็คือการเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อการประกาศนโยบายใหม่ของอเมริกาในเอเชีย
“ที่สิงคโปร์ อเมริกาประกาศว่าต่อไปนี้จะกลับมาในภูมิภาคนี้ และภายใน 8 ปี จะเพิ่มกองกำลัง เรือบรรทุกเครื่องบิน โดยจะโยกทหารเรือจากภาคพื้นแอตแลนติกมายังแปซิฟิคให้ได้ประมาณ 60-40 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเมื่ออเมริกาประกาศออกมาแล้ว หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าจีนต้องมีปฏิกิริยาต่อทั้งสามส่วนนี้แน่ แต่จะโยงมาไทยหรือไม่นั้น ต้องแยกอีกที เพราะฉะนั้นต้องรออีกนิดหน่อย สมาคมหอการค้าต่างๆ จะช่วยเราได้เยอะว่าในทางการค้า มีสัญญาณอะไรถูกส่งมาหรือเปล่า?
“ฝ่ายความมั่นคงก็คงจะดูเรื่องการเคลื่อนไหวของกองกำลังให้เราได้ ส่วนทางการฑูต ต้องลองฟังเสียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าเสียงที่ถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างไร ยิ่งเมื่อเราเลื่อนระยะเวลาในการพิจารณาออกไป ผมเชื่อว่าหลายๆ ประเทศรวมทั้งจีน จะตั้งใจกันส่งสัญญาณมาให้เราเพื่อให้ถ่วงดุล กดดัน หรือเพิ่มน้ำหนักในการตัดสินใจของเรา”
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อเมริกาก้าวเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น หลายคนอาจมองว่าเพราะทรัพยากรในทะเลจีนใต้และเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในพม่าที่ทำให้อเมริกามองเห็นช่องทางที่จะก้าวเข้ามา แต่ก็ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นด้วย
“เป็นการพยายามที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอิทธิพลเพิ่มขึ้น พยายามที่จะควบคุมพื้นที่นี้ เพราะอเมริการู้สึกว่าพื้นที่นี้ยังอยู่ในอิทธิพลของอเมริกา ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องของประชาธิปไตย เสรีนิยม เรื่องของสิทธิมนุษยชน รวมทั้งด้านการค้า การลงทุน การทหาร แต่เมื่อจีนเริ่มขึ้นมามีอำนาจ จีนก็คิดว่าประเทศเหล่านี้เป็นหลังบ้านของตัวเอง กอปรกับจีนก็รู้สึกว่าจีนถูกคุกคามด้วยเรื่องของประชาธิปไตยที่ตะวันตกเรียกร้องซึ่งมันไม่ถูกกับคนจีน จีนเขาคิดอย่างนั้น และเมื่อจีนมีศักยภาพมากขึ้น จีนก็พยายามจะเข้ามาในพื้นที่แถบนี้เพื่อให้อิทธิพลของอเมริกาเบาบางลง
“ในทางกลับกันอเมริกาเองก็มองว่าถูกจีนคุกคาม แม้ในทางการค้าการลงทุน ทั้งสองประเทศจะเป็นพันธมิตรกัน และไม่มีแนวโน้มจะแตกหัก แต่ในทางด้านการเมืองการปกครองมันแบ่งขั้วชัดเจน ซึ่งการค้าการลงทุนมันช่วยผสานไม่ให้มีการเผชิญหน้า ต่างจากสงครามเย็น ที่ไม่มีการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในปัจจุบันเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมืองก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
“ดังนั้น หลายประเทศเขาจึงประกาศชัดเจนว่าในเรื่องอิทธิพลทางการเมือง เขาไม่ต้องการอิทธิพลจีน แต่ทางการค้าเขาชอบ เพราะจีนเป็นคู่ค้าหมายเลขหนึ่ง หลายประเทศเขาแยกแยะชัดเจน แต่บางประเทศไม่แยกแยะก็ถูกดึงไปขั้วใดขั้วหนึ่ง ซึ่งปีนี้ บรรยากาศแบบนี้ชัดเจนมาก เพราะจีนเพิ่มงบประมาณทางการทหาร ศักยภาพของจีนวันนี้ยืนยันได้จากการที่จีนปิดล้อมไต้หวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไป ถ้าไต้หวันประกาศเอกราช จีนสามารถเข้าไปยึดครองไต้หวันได้ไม่ยาก ต่างจากหลายปีก่อน ที่กองทัพอากาศของไต้หวันสามารถต่อต้านจีนได้ และจะสร้างความเสียหายให้จีนมาก แต่ตอนนี้ศักยภาพของกองทัพจีนก้าวหน้าไปไกลกว่าไต้หวันมาก พฤติกรรมของไต้หวันในการประกาศเอกราชในทุกวันนี้จึง ลดน้อยลงเยอะ ตรงกันข้าม ไต้หวันลงทุนในจีนเยอะมากที่สุด ซึ่งก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น
“แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทำให้จีนมั่นใจและรุกสู่ทะเลจีนใต้มากขึ้น ทำให้จีนเผชิญหน้ากับเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างที่เราเห็น ทำให้อาเซียนเรียกร้องต่อจีนให้ปฏิบัติตัวให้ดีในทะเลจีนใต้ และใช้แนวทางของการปฏิบัติตัวในการไม่ใช้กำลัง ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ทำให้อเมริกันเห็นช่อง และประกาศทันทีว่าจะกลับมาใหม่ ซึ่งหลายประเทศก็ชอบ เพราะเห็นว่าอเมริกาจะมาช่วย เพื่อลดอิทธิพลของจีน และเมื่อโครงการเหล่านี้เกิดขึ้น บรรยากาศที่ว่านี้มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ดังนั้น เราต้องกำหนดกรอบของเราให้ชัดเพื่อป้องกันตัวเราเอง และต้องถ่วงดุลข้อดีข้อเสียต่างๆ เพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทุกประเทศกำลังโน้มน้าวไทยให้ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับตน”
“ดังนั้น ก่อนที่เราจะเปิดพื้นที่ตำนานสนามบินที่ทุกคนรู้จัก เราก็ควรจะถามเพื่อนๆ ในอาเซียนเขาหน่อย เผื่อว่าเขาจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ ยิ่งในตอนนี้มีการขยายเวลาพิจารณาออกไปแล้ว ก็ต้องมีการพูดคุย เราควรจะต้องอาศัยเพื่อนในภูมิภาคอาเซียนให้ร่วมกันตัดสินใจ อเมริกาก็จะได้เห็นว่าเราไม่โดดเดี่ยว เราเองก็อยากให้ทุกคนพอใจ ซึ่งเป็นเรื่องยากครับ ยาก เพราะเราไม่เลือกฝ่าย ไทยมักจะไม่เลือกฝ่ายจนกว่าจะเห็นผู้ชนะ มันจึงยุ่งยากอย่างนี้ ถ้าเลือกก็ง่ายครับ อย่างญี่ปุ่นเขาเลือกไปแล้ว เกาหลีใต้ สิงคโปร์เขาเลือกไปแล้ว เขาก็ตัดสินใจง่าย แต่เราไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น เรารอว่าใครจะชนะ ซึ่งมันก็ยากสำหรับเรา และทุกคนก็รู้ เราจึงถูกกดดันจากทุกฝ่าย ให้อิรุงตุงนัง ถูกเขาเดินเกมเร็ว ซึ่งนี่ก็เป็นข้อเสียของการที่เราพยายามจะรักษาน้ำใจของทุกฝ่าย อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก แต่เพราะเราคิดว่าเราทำแบบนี้แล้วได้ประโยชน์กว่า เพราะในอดีตเราเคยเลือกผิดแล้วหันหลังกลับแทบไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนบ้านเราเขามองออก ดังนั้น การดำเนินการทุกอย่างจึงต้องเป็นระบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก”
อู่ตะเภา ที่แห่งนี้ มีตำนาน
นอกจากมุมมองทางการฑูตและเรียกร้องถึงความโปร่งใสที่รัฐบาลต้องแสดงต่อสาธารณะ ทั้งต้องรู้จักชิงความได้เปรียบจากสหรัฐอเมริกาในฐานะเจ้าของพื้นที่แล้ว รศ.ดร.ปณิธาน ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงตำนานบาดแผลของสนามบินอู่ตะเภา ที่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ความทรงจำอันเลวร้ายก็ยังหลอกลอนผู้คนในแถบอินโดจีนอยู่กระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น การยอมให้สหรัฐฯ ใช้พื้นที่แห่งนี้ จึงอาจนำไปสู่ประเด็นอันละเอียดอ่อนทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้โดยง่าย
“ถ้าพูดถึงอู่ตะเภาทุกคนก็นึกออกว่าเป็นฐานทัพอเมริกันมาก่อน มันเป็นตำนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 สนามบินอู่ตะเภาเริ่มต้นชีวิตตนเองด้วยการเป็นฐานทัพที่สำคัญที่สุดฐานทัพหนึ่งของไทยที่ให้อเมริกันใช้ สำหรับให้เครื่องบินขึ้นบินไปทิ้งระเบิดยังประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีนหลายประเทศ แล้วทุกคนก็จำได้ดีว่าเครื่องบินขนาดใหญ่ ทิ้งระเบิดปูพรม ซึ่งระเบิดเหล่านี้ นับๆ ดูแล้ว มากกว่าการทิ้งในสมรภูมิของสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก
“ทุกคนจำได้ดีว่าอู่ตะเภาเป็นยังไง เครื่องบินบินขึ้นเป็นร้อยลำ ทหารอเมริกันอยู่เป็นหมื่นคน และเมื่อสงครามจบไปแล้วก็ยังมีกิจกรรมทางทหารอย่างต่อเนื่อง เช่น มีเครื่องบินมาลง เติมน้ำมัน เพื่อบินไปรบในตะวันออกกลาง บินไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย ในอัฟกานิสถาน ในอิรัก คนก็จำได้ดี เพราะที่มาของมันเป็นอย่างนั้น มีจีไอ มีทหารอเมริกัน มีผู้หญิงไทยอยู่รอบๆ สนามบิน ภาพมันเป็นอย่างนั้น และเมื่ออู่ตะเภากลับมาใหม่ในวันนี้ ภาพเดิมของมันก็กลับมาด้วย สำหรับเพื่อนบ้านเราหลายประเทศ โดยเฉพาะคนไทยหลายๆ คน ที่รู้สึกว่ามันกระทบต่อสังคมและการเมือง"
อย่างไรก็ดี นอกจากความทรงจำอันเลวร้ายแล้ว เคยมีความพยายามทำให้โฉมหน้าเดิมของอู่ตะเภาเปลี่ยนแปลงไป ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
“คือเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆ เราก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ให้เป็นประดยชน์ เป็นพื้นที่ที่คอยช่วยเหลือ คอยบรรเทาภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม ทำให้เราเสนอต่ออาเซียน ในปี พ.ศ. 2553 ว่าเราจะพัฒนาใหม่ ให้คนลืมภาพที่ไม่ดี แต่หลังจากนั้นก็มี ‘หลุมดำ’ คืออู่ตะเภาถูกใช้สำหรับการบินไปตะวันออกกลาง การต่อสู้กับกองกำลังก่อการร้าย มันมีรายงานจากอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองหลายคนในอเมริกาว่าเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สอบสวนนักโทษหรือผู้ต้องหาที่เขาจับได้จากการก่อการร้ายในหลายพื้นที่ แต่จะจริงเท็จแค่ไหน ไม่มีใครตอบได้ รัฐบาลไทยก็ปฏิเสธอยู่เสมอในทุกรัฐบาลและก็ไม่ยืนยันว่ามีโครงการแลกเปลี่ยนใช้พื้นที่ทำอะไรบ้าง มันจึงทำให้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ต่อต้านสงครารมก่อการร้ายของอเมริกา รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้มีความทรงจำที่ดี
“อู่ตะเภาจึงเป็นทั้งสถานที่เตือนความจำที่ไม่ดีของหลายๆ คน แต่ก็จุดประกายความหวังใหม่ๆ ที่เราจะเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน เพราะฉะนั้น ความชัดเจน การกำหนดเงื่อนไขและการเปิดเผยให้โปร่งใสตั้งแต่แรกจึงจำเป็นมาก ก่อนที่จะเดินไปไกลกว่านี้แล้วมันคลุมเครือ แล้วก็ดึงเอาภาพลักษณ์เก่ามา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอู่ตะเภาเป็นสนามบินที่เป็นตำนาน มีความซับซ้อน”
…..................
สัมภาษณ์โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
ถ่ายภาพโดย : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร