xs
xsm
sm
md
lg

คำถามจาก “แก้วสรร อติโพธิ” หรือคนไทยจะยอมให้ “ทักษิณ” ข่มขืนประเทศซ้ำซาก?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หากความพยายามฟอกผิดและล้มล้างคดี คตส.เอาคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดอย่างไร้มลทินเป็นผลสำเร็จ อาจสะท้อนว่าคนในชาติกำลังนอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว และยินยอมให้ “ทักษิณ” ข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่คิดจะตื่นขึ้นมาขัดขวาง เช่นที่ ‘แก้วสรร อติโพธิ’ อดีตคณะกรรมการ คตส. ตั้งคำถามและเปรียบเทียบสถานการณ์ของสังคมไทยในโมงยามนี้อย่างน่าสนใจ

เมื่อการเมืองอยู่เหนือกฎหมาย

“ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของการเมืองอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งที่มันควรจะเดินไปพร้อมกันทั้งสองอย่าง นั่นคือ การเมืองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ต้องใช้อำนาจที่ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ถ้าอาศัยเสียงข้างมากแล้วคุณจะไปออกกฎหมายว่าให้ไปจอดรถในที่ห้ามจอด ทำแบบนั้น ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะมันไปก้ำเกินสิทธิพื้นฐานของชาวบ้าน

“ขณะเดียวกัน แม้คุณจะได้เสียงข้างมากแต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าคุณเป็นแค่ผู้แทนราษฎร คุณต้องนำอำนาจไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถ้านำอำนาจไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน คุณก็ต้องติดคุก แม้จะกวาดเสียงในสภาหมดก็ตาม ถ้าคุณทรยศประชาชนคุณก็ติดคุกได้ ดังนั้น การออกนโยบายเพื่อบ้านเมืองก็ต้องมีส่วนสำคัญ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องการเมืองก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่ส่วนที่เสียงข้างมากจะเข้ามายุ่งไม่ได้คือเรื่องกฎหมาย ซึ่งคราวนี้ถ้าเขาทำได้สำเร็จนี่มันก็หมายความว่าเราจะอยู่กันอย่างไม่มีกฎหมาย กลายเป็นว่าเมื่อมีเสียงข้างมากแล้วก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง อีกหน่อยมันก็กลายเป็นการปกครองแบบเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยก็ตาย ก็ตกรถไฟไป

พรรคเพื่อไทยเขาเป็นเสียงข้างมาก จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น พวกเขาเผาเมืองมาเขาก็เขียนให้มันไม่มีโทษได้ เจ้านายเขาคอร์รัปชัน เขาก็บอกว่าพิจารณาคดีไม่ได้ เอาใหม่ อันนี้ในหลักกฎหมายเขาไม่มีหรอกครับ
 
เขาจะดูกันที่กระบวนการ ว่าคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมหรือเปล่า คตส.จับคุณทักษิณไปกดน้ำเพื่อสารภาพหรือเปล่า ไปดักฟังคุณทักษิณหรือเปล่า ถ้า คตส.ไม่ได้กระทำการอย่างที่ว่ามานี้ การไต่สวนก็เป็นไปโดยถูกต้อง มันก็มาจากกฎหมายที่ใช้กับคนทั่วไป ไม่ใช่ว่าจะใช้กับคุณทักษิณโดยเฉพาะเพียงผู้เดียว มันเป็นกฏหมายที่มาจากป.ป.ช.ที่มีอยู่แล้ว แล้วก็มาขึ้นศาลธรรมดา ความผิดที่มีก็เป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามปกติ คือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร ซุกหุ้น แล้วก็นำอำนาจรัฐบาลมาใช้เอื้อประโยชน์บริษัทตนเอง แบบนี้ก็ต้องโดนยึดทรัพย์ มันไม่มีขั้นตอนใดในกระบวนการตรวจสอบของ คตส.ที่มีอะไรเสียหาย ส่วนเรื่องที่ว่า คตส.มาจากคณะรัฐประหารนั้น อันที่จริงเขาเพียงตั้งคณะกรรมการเฉพาะขึ้นมาเร่งคดี ไม่ใช่เรื่องศาลเตี้ยอย่างที่เข้าใจผิดกัน

เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของคนทำผิดที่แพ้ ถูกจับได้แล้วก็ไม่ยอมรับผิด ถ้าคุณยอมให้เขาทำได้อย่างที่ต้องการ หรือเชื่อที่เขาอ้างว่านิรโทษกรรมแล้วยังดำเนินคดีได้อีก ก็บอกเลยว่ามันไม่สามารถดำเนินคดีได้หรอก เพราะพยานก็หนีหมดแล้ว ไม่มีใครเขาพูดอยู่แล้วล่ะ พยานหลักฐานหนีหมดแล้ว ไม่มีหรอกครับการดำเนินคดีทางอาญาที่จะสอบสวนซ้ำ

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับรัฐประหารอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องไม่ยอมให้เจ้านายตัวเองโดนยึดทรัพย์แค่นั้นเอง แล้วจึงหาข้ออ้าง อย่างกระบวนการของ คตส.นี่มีตรงไหนที่ไม่ยุติธรรมบอกมาสิ ผมไม่เห็นเขาชี้แจงได้เลย”

ครั้นถามว่าถ้าการล้มคดี คตส.ทำได้จริงจะสะท้อนถึงอะไรบ้าง แก้วสรรตอบว่า

“ถ้าเขารุกไล่ไปถึงการต้มยำชำเรารัฐธรรมนูญ ถ้าชัยชนะเป็นของเขา ถ้าเขาทำได้ ศาลก็ไม่เหลือหรอก กฎหมายไม่เหลือ ศาลก็ไม่เหลือ ทุกอย่างพังหมด”


คตส.กับงานที่ไม่ถูกสานต่อ

นอกจากนั้น ในฐานะอดีตคณะกรรมการ คตส. แก้วสรรยังมีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของ คตส. โดยเฉพาะบทบาทอันว่าด้วยการถ่วงดุลอำนาจการเมืองหรือความพยายามในการต้านทานคอร์รัปชัน  
 
แก้วสรรมองว่า คตส.เปรียบเหมือนผู้ใช้กฎหมายให้นักการเมืองกับเจ้าหน้าที่รัฐเขากลัวเกรง เพื่อให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นใช้อำนาจโดยสุจริต คตส.จึงคล้ายเป็นภาพลวงหรือตัวล่อในการปราบคอร์รัปชัน โดยในความเป็นจริงศาลจะต้องเป็นหัวหอก ซึ่งคนที่จะป้อนคดีไปถึงศาลก็ต้องทำคดีอย่างรวดเร็ว เกาะติด ไม่ใช่ประชุมไปวันๆ ไม่เอาจริงเอาจัง จนเมื่อส่งคดีไปให้ศาลแล้วศาลก็ยกฟ้อง

“มันต้องลุยกันจริงๆ แล้วให้ได้เรื่องได้ราว ดังนั้น ผมว่า คตส.เป็นตัวอย่างของความพยายามที่เอาจริงเอาจังกันจริงๆ อย่างคดียึดทรัพย์นี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ กว่าจะลากกันออกมาได้ว่าซุกหุ้นหรือไม่ซุก ต้องตามกันนาน
 
หรืออย่างเงินในโครงการเอื้ออาทรนี่ตามกันไปถึงขั้นว่าให้เงินผู้รับเหมาไปแล้ว 400 ล้านบาท แล้วเงินวิ่งกลับมาที่รัฐมนตรีได้อย่างไร แล้วที่ผู้รับเหมาเขายอมรับว่าส่งเงินให้รัฐมนตรีนั้น ที่เขายอมรับเพราะเราต้องมีหลักฐานไปแสดงจนเขาเถียงไม่ได้ แล้วเราก็ต้องถามเขาว่าระหว่างการโดนข้อหาให้สินบนเจ้าพนักงานกับเป็นพยาน คุณจะเลือกอย่างไร คือ คตส.ต้อง ‘มือถึง’ ขนาดนั้นจึงจะนำพยานไปจับรัฐมนตรีวัฒนา เมืองสุข ได้ แล้วถ้าพิจารณาคดีใหม่ พยานพวกนี้ก็เปิดหนีหมดสิ วัฒนาก็ลอยตัว ทักษิณก็ลอยตัวไปหมด ดังนั้น คตส.จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะเอาจริงเอาจังในการปราบคอร์รัปชัน”

วาทกรรม ‘ปรองดอง’ โฆษณาชวนเชื่อเพื่อคนคนเดียว

ใช่เพียงแสดงความเห็นต่อการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการรู้ทันนักการเมืองที่มุ่งอำนาจเพื่อรับใช้ประโยชน์ส่วนตน แต่แก้วสรรยังเสนอมุมมองในประเด็นเรื่องการปรองดองที่พรรคเพื่อไทยและบรรดาลิ่วล้อของทักษิณนำมาใช้โหมโรงเพื่อจุดกระแสพานายใหญ่กลับบ้าน โดยแก้วสรรวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาและชวนให้ขบคิดว่า แท้ที่สุดแล้วความปรองดองก็เป็นเพียงวาทกรรมที่บรรดาลิ่วล้อนำมาใช้เพื่อจะฟอกความผิดให้นายของตัว

“การปรองดองกันนี่มันเรื่องอะไรล่ะ? มันไม่ใช่เรื่องผิวขาว-ผิวดำซัดกัน ไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ชีวิตประจำวันในสังคมก็ปกติ มันไม่ปรองดองตรงไหน? มันเป็นแค่เรื่องที่คุณจะเอาเจ้านายคุณกลับมาให้ได้ คุณจะกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้ คุณก็เลยไล่จะแก้รัฐธรรมนูญ ทำทุกอย่าง จะแก้รัฐธรรมนูญใหม่ จะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือเจ้านายของคุณ ถ้าเราปล่อยให้เขาทำได้ มันก็เหมือนเขามาฉุดลูกสาวของคุณแล้วแห่ขันหมากมาสู่ขอ ขอแต่งงานด้วย มันเรื่องอะไรกัน

ผมเห็นว่าเรื่องปรองดองเป็นเรื่องที่เขาข่มขืนเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมยังมองไม่เห็นเลยเรื่องความขัดแย้งที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นความขัดแย้งที่เป็นความคิดความอ่านอยู่ตรงไหน ถ้าจะพูดเรื่องปรองดองนั้น จริงๆ แล้วถ้าเป็นเรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี่ใช่ เขาต้องการเป็นอิสระ เป็นตัวตนเขา แล้วเราไม่ยอม กลายเป็นความขัดแย้ง แต่ที่พรรคเพื่อไทยบอกจะปรองดองนี่แล้วบ้านเมืองมันมีความขัดแย้งที่แท้จริงหรือเปล่า มันเป็นแค่เรื่องที่ทักษิณจะเถลิงอำนาจให้ได้ เสื้อเหลืองก็มาค้าน ทหารก็ปฏิวัติ แล้วเขาก็ดิ้นกลับมาอีกโดยใช้กำลังทำกับบ้านกับเมืองเสียหายยับเยิน แล้วจะนำอำนาจที่มีไว้เพื่อส่วนรวมมาช่วยเหลือในเรื่องส่วนตัวอีก มันปรองดองอะไรที่ไหน มันเป็นเรื่องที่เขาจะมาข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก

มันเหมือนกับเขาพรากลูกสาวคุณไป แล้วแห่ขันหมากมาสู่ขอ คุณจะยกลูกสาวให้เขาไปหรือจะให้ปืน มันเห็นชัดจะตายไปคุณจะยอมโจรหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งทางแนวความคิดนั่นก็เรื่องหนึ่ง เช่นพวกพี่น้องมุสลิม หรือพี่น้องที่เขาไปเป็นคอมมิวนิสต์ เราเข้าใจเขาไหม ถ้าวันหนึ่งต่างฝ่ายจะมาบอกว่า ‘เออ! เราเกินไป กูเกินไป มึงก็เกินไป เรามาเลิกแล้วต่อกันซะ กลับมาอยู่กันเหมือนเดิม’ มันต้องมีความขัดแย้งเป็นตัวเป็นตน เป็นแนวความคิดที่ชัดเจนแบบนี้ จึงจะเป็นความขัดแย้งที่ต้องหาทางปรองดอง ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นโจรจะมาปล้นบ้าน แล้วบอกว่าเป็นเรื่องของแนวความคิดที่แตกต่าง แล้วจะขอกลับมาปรองดอง มันไม่ใช่”

ท้ายที่สุด อดีต คตส.อย่างแก้วสรร ไม่ลืมฝากแง่คิดถึงคนในสังคมไทยว่า 

“ถ้าคราวนี้เรายอมให้เขาทำกับประเทศได้ ก็ไม่ต้องพูดกันแล้วล่ะ คนในสังคมมันไม่ได้ตื่นแล้ว มันหลับสนิท หรืออาจจะตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียแล้วก็นอนต่อ แล้วก็บอกมาปรองดองกันเถอะ ดูอย่างขุดลอกคูคลองแม่น้ำ งบเป็นหมื่นล้าน เขาเอาไป 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วพวกคุณทำอะไรกันอยู่ นอนต่อไปเถอะ 

 
ถามสังคมไทยแค่นี้แหละ ถ้าเขาฉุดลูกสาวคุณไปแล้วยกขันหมากมาขอ คุณจะยอมไหม คุณเป็นเจ้าของประเทศหรือเปล่า คุณจะยอมให้เขาเอาประเทศไปไหม ถ้ายอมก็นอนหลับต่อไปเถอะ ประเทศเรายังมีเจ้าของประเทศอยู่หรือเปล่า หรือมีแต่คนนอนหลับ คุยกันแบบกระแอมกระไอ ซุบซิบ หวาดกลัวเขาไปหมด แล้วสุดท้ายประเทศไทยก็กลายเป็นฟิลิปปินส์ เป็นไนจีเรียไป”


กำลังโหลดความคิดเห็น