xs
xsm
sm
md
lg

จากแหลมทองของไทยถึงปัญหาน้ำท่วม..."กรุงเทพฯ เคยเป็นทะเลมาก่อน"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2485
โดย ... ศ.ระพี สาคริก

เธอที่รักของฉัน ขณะนี้อยู่ระหว่างเดือน ตุลาคม พ.ศ.2554 ซึ่งตัวฉันเองมีอายุกำลังจะใกล้ 90 ปีเข้าไปแล้ว เรากำลังเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่มันสอนให้เราหวนกลับมาพิจารณาตัวเอง เพราะน้ำป่ามันไหลบ่ามาจากภาคเหนือเข้าท่วมชุมชนมนุษย์ให้ต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก

ความจริงแล้ว เธอเคยหวนกลับไปค้นหาความจริงภายในจิตใต้สำนึกของตัวเอง ซึ่งเราเคยเผชิญกับปัญหาแบบนี้มาแล้วในอดีต ดังเช่นเมื่อปี พ.ศ.2485 ซึ่งฉันยังจำได้ดีว่า ในช่วงนั้นกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นทะเลอันกว้างใหญ่ อีกทั้งคนไทยยังอดผักอดหญ้า รวมทั้งข้าวปลาอาหาร แม้แต่น้ำดื่มกระทั่งบ้านสองชั้นยังต้องเอาเรือบดมาผูกไว้ที่ระเบียงชั้นบนของตัวบ้านหลังละลำสองลำเพื่อใช้งานเป็นประจำ ฉันขอถามเธอว่าภายในจิตใต้สำนึกนั้น “เธอลืมมันไปแล้วหรือ” ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง

“โปรดอย่าแก้ตัวนะว่ายังไม่เกิด”

สำหรับตัวฉันนั้นมีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นขณะยังไม่เกิด แต่ก็ยังค้นพบได้ว่า ภายในจิตใต้สำนึกนั้นมันได้เข้าไปนอนอยู่ในนั้นแล้ว อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงถึงซึ่งกันและกันกับเรื่องปัจจุบันได้อีกด้วย

ถ้าเธอไม่ใช่คนลืมง่าย การแก้ปัญหาในครั้งนี้มันก็คงไม่ยากมากเท่าไหร่ แม้แต่เธอถูกประณามว่า “คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนลืมง่าย” เธอก็ยังไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย

ถ้าเธอเป็นคนมีนิสัยจำแม่น เธอย่อมมีจิตใต้สำนึกที่รำลึกถึงพระคุณในอดีต แม้แต่เรื่องนี้ก็ควรรู้ว่า “ถ้าน้ำมันไม่ท่วมหนัก เธอก็คงเอาแต่นอนหลับทับสิทธิ” ซึ่งคำว่า “ทับสิทธิ” นั้น โปรดอย่าได้จำกัดกรอบเอาไว้แต่เพียงเรื่องรูปแบบทางการเมือง หากทับสิทธินั้นหมายถึง “สิทธิในความเป็นมนุษย์” ซึ่งควรมีคุณธรรมและจริยธรรม อันจะนำไปสู่จิตใต้สำนึกที่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอย่างเป็นธรรมชาติ

จากสภาพทางภูมิศาสตร์ถึงปฐพีวิทยา

หวนกลับไปสู่สภาพหลายพันปีมาแล้ว โลกใบนี้เคยเป็นเศษดาวพระเคราะห์ครั้นเย็นลงย่อมเกิดชีวิตเล็กๆ ที่แยกเป็นสองสายขึ้นในน้ำ สายหนึ่งได้แก่พืช อีกสายหนึ่งได้แก่สัตว์ นอกจากนั้นแกนของโลกใบนี้มันมีแต่ด้านตั้งด้านเดียว

ดังนั้นจึงมีขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ซึ่งอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้เกิดอุณหภูมิต่ำสุด เพราะขาดความอบอุ่น จึงเต็มไปด้วยน้ำแข็งมากที่สุดด้วย แต่โปรดอย่าได้ลืมไปว่าโลกใบนี้มันแตกมาจากดวงอาทิตย์ แล้วค่อยๆ เย็นลง ดังนั้นเธออย่าหยุดคิดสิ เพราะไม่มีอะไรที่มันหยุดอยู่กับที่ เมื่อเริ่มต้นเย็นลง ความร้อนความเย็นมันก็ไม่มีข้อจำกัด นอกจากเป็นไปอย่างอิสระ

การที่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้มันมีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เพราะภายในภาพรวมของชีวิตระหว่างมนุษย์กับสัตว์นั้น มนุษย์คือชีวิตที่มีจิตวิญญาณและมีความโลภอยู่ในส่วนลึก

เมื่อข้างนอกมันเย็น ข้างในมันก็ย่อมร้อน นี่แหละมนุษย์ผู้มีกิเลสซึ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในกระแสการทำลายมันก็มีส่วนสร้างสรรค์อยู่ด้วย

รำลึกถึงช่วงที่ฉันยังเป็นหนุ่ม

อนึ่ง เมื่อฉันพูดถึงความเป็นหนุ่มย่อมแสดงให้รู้ว่าขณะนี้ฉันมีอายุมากแล้ว แต่ยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งจำได้ดี เพราะมันเป็นหลักธรรมอันเกิดจากการนำปฏิบัติเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ระหว่างที่ฉันไปเรียนเกษตรอยู่ที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ.2480 - 2483 ฉันชอบไปนั่งอยู่ที่ราวสะพานเนาวรัตน์ แล้วมองออกไปทางด้านทิศเหนือ ฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นจากโลกภายนอก เพราะทั้งนี้ในแม่น้ำปิงระหว่างช่วงฤดูฝนมันมีระดับน้ำเต็มเปี่ยมที่ไหลจากด้านเหนือลงมาสู่ด้านใต้

นอกจากนั้นที่ริมฝั่งยังไม่ได้สร้างเขื่อนคอนกรีต คงมีแต่ดินธรรมดาๆ อีกทั้งสองฝั่งยังมีผู้คนทำอาชีพเกษตรกรรม และมีเครื่องทดน้ำที่เรียกกันว่า “อุ” อันหมายถึงการใช้แรงน้ำขับเคลื่อนล้อหมุนเพื่อตักน้ำจากแม่น้ำขึ้นมารดผัก

เมื่อฤดูกาลในแต่ละปีมีการเปลี่ยนแปลงจากหน้าน้ำไปสู่หน้าน้ำลด ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น น้ำมันก็ค่อยๆ ลดระดับลง ชาวบ้านจะปลูกผักและปลูกไม้ดอกตามระดับน้ำที่มันลดลงไปด้วยเพราะดินมันดี

นอกจากนั้นเกาะตรงกลางน้ำมันก็โผล่ขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านพายเรือไปปลูกผักปลูกไม้ดอกที่นั่นอีก

เธอรู้ไหมว่า อะไรมันเกิดขึ้น ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า เพราะน้ำมันชะเอาหน้าดินซึ่งอยู่ในป่ามาจากตอนเหนือ เมื่อกระแสน้ำมันลดความเร็วลงไป ผิวดินเหล่านั้นมันก็ตกตะกอนกลายเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้ นี่แหละคือสัจธรรมสำคัญของธรรมชาติ

ซึ่งครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนบทความเรื่อง “ความรักของเกษตรกรริมฝั่งน้ำ” ขณะที่ตัวเองไปนั่งอยู่ริมฝั่งโขง ตรงปากลำน้ำก่ำที่จังหวัดนครพนมซึ่งตะกอนดินอันอุดมสมบูรณ์ตกทับถมหนามาก และมองลงไปแลเห็นชาวบ้านปลูกกะหล่ำปลีกะหล่ำดอกอยู่ที่นั่นได้งามมาก

นอกจากนั้น ฉันยังเดินลงไปคุยกับชาวบ้านที่กำลังถอนเอาต้นกะหล่ำดอกเหล่านั้นขึ้นมากองไว้ที่พื้นดินและปลิดใบล่างๆ ออกทิ้ง

ฉันได้ยินเขาบ่นกับฉันว่า “คุณลุง แย่แล้ว” ฉันถามสวนกลับไปว่า “แย่ยังไง?” เสียงตอบกลับมาว่า “เพราะราคากะหล่ำดอกเหลือเพียงกิโลละ 2 บาท”

ฉันรู้ทันทีว่าอะไรมันเกิดขึ้น แต่ย้อนถามกลับไปว่า “ทำไมล่ะ 2 บาท มันก็ยังขายได้นี่นา”

ฉันได้ยินเสียงบ่นจากเกษตรกรชาวบ้านกลับมาว่า “ไหนจะค่าปุ๋ย ไหนจะค่ายา แถมยังถูกกดราคา”

ฉันนึกอยู่ในใจทันทีว่า “ตายแล้ว! เราผลิตลูกศิษย์ออกมาเพื่อเอาเปรียบชาวบ้านหรือเปล่า?”

นี่แหละที่ฉันเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมได้แง่คิดใหม่ๆ ว่า “ทำไมเราสอนเด็กในคณะเกษตรเพียงแค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ทำไมไม่ได้สอนให้เขาเรียนรู้เรื่องจิตใต้สำนึก”

จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ฉันได้เห็นคนท้องถิ่นโดยเฉพาะคนที่อพยพจากภายนอกขึ้นไปอยู่ภาคเหนือ ยิ่งเป็นชาวต่างประเทศด้วยแล้ว มันสอนให้ฉันรู้ว่า “ที่ไหนมีความอุดมสมบูรณ์ ที่นั่นก็ย่อมมีมนุษย์ไปแย่งชิงกันถือครองแผ่นดินผืนนั้น” ซึ่งเชียงใหม่ในสมัยก่อน ประชากรท้องถิ่นซึ่งเป็นคนไทยโดยแท้ เคยอยู่กันอย่างสงบเรียบร้อยขโมยโขจรมันก็ไม่มีคงอยู่กันอย่าเคารพนับถือระหว่างกันและกัน

ช่วงนั้นฉันขี่รถจักรยานไปจอดไว้ที่ถนนท่าแพรโดยไม่ได้ใส่กุญแจ แม้ขนาดหันหลังไปซื้อของ ครั้นกลับมารถก็ยังไม่หาย

ต่อมาภายหลังสงกรานต์ซึ่งเคยมีหลักอยู่ว่าหลังจากทำการเกษตรแล้ว ก็จะเอาเงินไปเข้าวัดทำบุญซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะคนไทยหิวเงินนี่แหละทำให้นำเอาคนต่างชาติเข้ามาถือครองแผ่นดินเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยโฆษณาว่า พิธีสงกรานต์คือการสาดน้ำใส่กัน(Water Throwing) ยิ่งนโยบายการท่องเที่ยวนี่แหละตัวดี ที่มีพฤติกรรมขายชาติขายแผ่นดิน เพราะความหิวเงินจึงทำให้การกระทำเป็นไปด้วยความไม่รู้จักพอเพียง ดังจะพบผลได้ว่า เวลานี้กาขาวได้เข้ามาครองเมืองจนกระทั่งคนไทยแทบไม่มีที่อยู่แผ่นดินจะอยู่

ช่วงนั้น ฉันได้เห็นสะพานเนาวรัตน์ถูกฉีกออกเป็นสองด้าน เสาสะพานที่เคยออกแบบเอาไว้อย่างสอดคล้องกันกับโครงสะพาน มันก็ถูกฉีกเอาไปไว้คนละทิศคนละทาง ทำให้ภายในจิตใต้สำนึกของฉันรู้สึกได้ว่า “วัฒนธรรมท้องถิ่นกำลังถูกฉีกออกไปให้แตกเป็นสองเสี่ยงอย่างน่าเศร้าใจที่สุด”

สิ่งที่เคยนำไปสู่การสร้างสรรค์ในอดีต

ถ้าใครสงสัยว่าเหตุใดฉันจึงนำเอาเชียงใหม่มากล่าวเน้น ทั้งๆ ที่จังหวัดอื่นมันก็มี

คำอธิบายก็คือ เพราะเชียงใหม่อยู่ในเขตต้นน้ำลำธารของเมืองไทย อีกทั้งยังอยู่ในระดับสูงเหนือจังหวัดอื่นซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้

ในปัจจุบัน ใครเคยคิดบ้างไหมว่า เมื่อประมาณนับเป็นพันปีมาแล้ว “กรุงเทพฯ เคยมีตัวตนบ้างหรือเปล่า แม้แต่กรุงศรีอยุธยาก็ยังเคยเป็นปากอ่าวของแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน”

อนึ่ง ฉันได้เห็นภาพเขียนที่สะท้อนให้เห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน หลังจากดินตะกอนที่มันพัดมาจากทางเหนือผ่านปากน้ำโพจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับกระแสน้ำที่มันไหลช้าลง ทำให้เกิดการตกตะกอนดินที่เรียกกันว่า “สันดอน” ขึ้นที่ปากอ่าว

หลังจากฉันกล่าวมาถึงช่วงนี้ หากใครหวนกลับไปนึกถึงเกาะกลางน้ำที่มันเกิดขึ้นในแม่น้ำปิงมาในอดีต มันก็มีเหตุผลเชื่อมโยงถึงกัน

นี่แหละที่ทำให้เกิดชื่อแผ่นดินผืนนี้ว่า “แหลมทองของไทย”

ทั้งนี้เพราะที่บริเวณฝั่งธนบุรีในอดีต ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กก็ได้เห็นแล้วว่า บริเวณนั้นเคยเป็นพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ผลนานาชนิด แม้แต่ทุเรียน มังคุด รวมทั้งไม้ผลชนิดอื่นๆ ซึ่งชาวบ้านที่นั่นเลี้ยงลูกหลานโตมาหลายคนแล้ว บางคนยังได้รับการส่งให้ไปเรียนต่อเมืองฝรั่งอีกด้วย

คนโบราณก็ยังสามารถรู้ถึงธรรมชาติของชีวิตได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วย ดังจะเห็นความจริงว่า ที่ธนบุรีนั้นชาวสวนผลไม้ใช้วิธีปลูกพืชหลายชนิดรวมๆ กัน แม้แต่ลำไยมันก็เกิดขึ้นที่ “ปากลัด จังหวัดสมุทรปราการก่อนเชียงใหม่” ทั้งนี้ที่ฉันกล้ายืนยันเพราะตัวเองยังเป็นเด็กอายุเพียง 7 - 8 ขวบ ได้มีโอกาสไปวิ่งเล่นอยู่ในสวนแถวนั้นมาแล้ว แถมยังไปนอนอยู่ในกระต๊อบที่เขาอยู่ยามเฝ้าค้างคาวในสวนลำไยด้วย

นอกจากนั้นคนโบราณยังรู้ด้วยว่า พืชตระกูลถั่วนั้นมันมีประโยชน์แก่พืชอื่นๆ เขาจึงปลูกต้นทองหลางเอาไว้เป็นพี่เลี้ยงไม้ผลเหล่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น ทุกปีน้ำที่ไหลมาจากทางเหนือก็ยังมีป่าไม้ที่คอยช่วยซับน้ำเอาไว้ไม่ให้ไหลเร็ว เพราะถ้าน้ำไหลเร็วย่อมมีผลทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดิน ยิ่งกว่านั้นยังอาจถึงขั้นทำลายชีวิตมนุษย์อีกด้วย

ช่วงที่ฉันเป็นเด็กฉันยังเคยเดินไปนั่งเล่นอยู่ที่ใต้สะพานพระราม 6 แล้วมองข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปสู่พื้นที่สีเขียวที่ประกอบไปด้วยต้นไม้ผลนานาชนิด รวมทั้งต้นทองหลางซึ่งชาวสวนปลูกเอาไว้เป็นพี่เลี้ยง เพื่อให้ดินดีและให้ร่มเงาแก่ต้นไม้ขนาดเล็กอีกด้วย มันก็เป็นหลักปรัชญาอันเดียวกันกับชีวิตมนุษย์ “การที่ผู้ใหญ่ให้ความอบอุ่นแก่เด็ก ส่วนเด็กก็ควรทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นทางจิตใจแก่ผู้ใหญ่ด้วย”

แต่การจัดการศึกษาสมัยนี้ ผู้ใหญ่กลับรู้สึกกำแหง โดยที่คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าเด็ก ซึ่งแท้จริงแล้วย่อมมีผลทำลายการสืบทอดสังคมไปสู่อนาคต

ในช่วงหลังๆ ฉันเคยพูดเป็นครั้งคราวว่า “เด็กคือใคร?” ส่วนใหญ่ตอบกลับมาว่า “เด็กคืออนาคต”

ฉันตอบว่า “ไม่ใช่ หากเด็กคืออดีต” ถ้าใครสงสัยฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า “เด็กคืออดีตของผู้ใหญ่ยังไงล่ะ” เราแต่ละคนก็เคยเป็นเด็กมาก่อนแต่ทำไมเราไม่คิดทบทวนกลับไปสู่อดีต จนปล่อยให้คนเขาปรามาสว่า “คนไทยลืมง่าย”

ฉันนึกถึง คำโบราณที่เคยได้ยินมาก่อนว่า “มนุษย์ขี้เหม็นเขี้ยวเข็นเทวดา” เธอรู้ไมว่าหมายความถึงอะไร ข้อความประโยคนี้หมายถึง “มนุษย์มีกิเลสหนายิ่งขึ้นทุกวัน”

เมื่อมนุษย์มีกิเลสหนามากยิ่งขึ้น

น้ำมันก็ไหลแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้น “สันดอน” มันก็ย่อมเคลื่อนตัวออกไปจากปากอ่าวไกลมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือ มนุษย์จะต้องได้รับความเดือดร้อนเพิ่มมากยิ่งขึ้นทุกที

แม้ว่า การที่สันดอนมันเคลื่อนที่ออกไปจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีโอกาสได้เงินทองเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า มีเรือสินค้าจากเมืองฝรั่งมังค่าลำใหญ่ๆ แล่นมาค้าขายสินค้าให้แก่คนไทยในกรุงเทพฯ ซึ่งมักมาติดเกยตื้นอยู่ที่สันดอนภายใต้ผิวน้ำอยู่บ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าภายใต้ผิวน้ำนั้นมันมีอะไรซ่อนอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นจึงทำให้คนไทยต้องออกกฎหมายว่า เรือสินค้าทุกลำที่แล่นผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาจะต้องมีเรือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนำร่อง โดยเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้สังกัดอยู่ภายใต้กรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จะมีการจัดเวรยามว่าใครจะต้องทำงานในเวลาไหน อีกทั้งเรียกใช้ได้ทุกโอกาส
อนึ่ง เดิมทีเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เคยเป็นทหารเรือมาก่อน

กรุงเทพฯ เคยเป็นทะเลมาก่อน

ประเด็นนี้ฉันกล้ายืนยัน เพราะมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้

ในช่วงที่ฉันยังทำงานวิจัยเรื่องข้าวอยู่ในบริเวณสถานีทดลองข้าวที่เกษตรกลางบางเขน หลายครั้งหลายหนที่มีการก่อสร้างอาคารสถานที่ขนาดใหญ่ ฉันมักไปยืนสังเกตถึงสภาพของดินที่มันอยู่ในส่วนลึก แม้กระทั่ง 10 กว่าเมตร ทีแรกก็พบเปลือกหอยซ้อนกันเป็นชั้นๆ หนามาก แสดงว่ามีซากหอยตายตกทับถมกันอยู่ในนั้น

อีกประการหนึ่ง ดินที่ขุดขึ้นมาแล้วเอามากองไว้ข้างบนพื้น ทีแรกมันก็ยังเป็นดินเหนียวที่ค่อนข้างแฉะ แต่พอทิ้งให้แห้งถึงระดับหนึ่งฉันได้พบแร่ “ยิปซัมป์” (Gypsums) ซึ่งมีลักษณะเป็นผลึกรูปขนมเปียกปูน ขนาดประมาณเกือบ 1 เซนติเมตรปนอยู่กับดินเป็นจำนวนมากมาย เพราะแร่ชนิดนี้มีปนอยู่ในน้ำทะเลอย่างเป็นธรรมชาติ

เพียงสองอย่างนี้ก็ทำให้เรารู้ความจริงว่า “พื้นเมืองกรุงเทพฯ นั้น อดีตเคยเป็นทะเลมาก่อน”

ฉันคิดว่าแม้ในปัจจุบัน ถ้าใครสามารถขุดดินในบริเวณใต้พื้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นมาดูก็คงพบสภาพแบบเดียวกัน

เมื่อมนุษย์มีกิเลสหนามากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว ตามหลักธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลกใบนี้ย่อมมีการหมุนวนเป็นวัฏจักร

ดังนั้น หากกล่าวว่า เมื่อมนุษย์มีกิเลสหนามากยิ่งขึ้น ในที่สุดมนุษย์ก็ย่อมสามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงไม่แตกต่างอะไรเพียงแค่น้ำท่วมครั้งนี้ แท้จริงแล้วมันก็คือ วิถีการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของมนุษย์นั่นเอง หรืออาจกล่าวอย่างสั้นๆ ว่า “เมื่อเกิดขึ้นได้ก็ย่อมดับได้เป็นธรรมดา”

ดังนั้น สภาพดังกล่าวย่อมสอนให้เรารู้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมันปรากฏอยู่ในวิถีการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เราแต่ละคนควรอยู่อย่างเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ย่อมไม่ทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อไม่เป็นทุกข์ก็ควรนำปฏิบัติอย่างดีที่สุด”
เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2485


กำลังโหลดความคิดเห็น