เขียน โดย ....ศุภกิจ นันทะวรการ
มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
7 มีนาคม 2553
กระทรวงพลังงานกำลังจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2553-2573 หรือแผนพีดีพี2010 ในวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม โดยดำเนินการอย่างเร่งรีบเพื่อมุ่งจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาเห็นชอบในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคมนี้ ให้ได้ ทั้งที่แผนพีดีพี2010 เป็นแผนแม่บทของการพัฒนาระบบไฟฟ้าใน 20 ปีข้างหน้าที่กำหนดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 50 โรง มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 4 ล้านล้านบาท (ย้ำ! สี่ล้านล้านบาท) ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็อาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงได้
ดังเช่น โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง โรงไฟฟ้าถ่านหิน 13 โรง และเพิ่มการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศพม่าและลาวมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ เป็นต้น
แต่ความเร่งรีบของกระทรวงพลังงาน ทำให้มีการข้ามลัดขั้นตอนในกระบวนการจัดทำแผน โดยการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในอนาคต ที่กระทรวงพลังงานและสภาพัฒน์ฯ เป็นผู้ว่าจ้างให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้าทำการศึกษา เพื่อนำไปใช้พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคตและจัดทำเป็นแผนพีดีพีต่อไป ก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ แต่กลับดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ จนกำหนดร่างแผนพีดีพี 2010 ออกมาแล้ว
สำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก็ข้ามลัดขั้นตอนไปด้วย โดยทางกระทรวงพลังงาน จัดรับฟังความคิดเห็นเรื่อง การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคต ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจัดรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยเรื่อง สมมติฐานในร่างแผนพีดีพี ในวันเดียวกัน ถัดมาในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ กระทรวงพลังงานก็จัดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างแผนพีดีพี2010” โดยการศึกษาของนิด้า ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
สำหรับเวทีการรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างแผนพีดีพี 2010” มีการประกาศเชิญล่วงหน้าเพียง 7 วันและไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลร่างแผนพีดีพี 2010 ล่วงหน้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในเวทีดังกล่าวก็ไม่มีการให้ข้อมูลประเภทโครงการโรงไฟฟ้าที่กำหนดไว้ในแผนและถูกตั้งคำถาม จนมีการสรุปในช่วงท้ายเวทีว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นต่อสมมติฐานในการวางแผน และจะจัดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนพีดีพีอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่มาให้ข้อมูลในเวทีของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาอธิบายว่า เวทีวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เป็นการรับฟังความคิดเห็นต่อสมมติฐานในการวางแผน แต่ทางโรงแรมขึ้นชื่อเวทีผิด! ซึ่งสะท้อนถึงการจัดรับฟังความคิดเห็นแบบ ‘ลวกๆ’ ของกระทรวงพลังงาน
สำหรับการจัดรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะต่อร่างแผนพีดีพี 2010 ในวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม ก็จัดหลังจากเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มเฉพาะต่อผลการศึกษาของนิด้าเพียง 4 วัน โดยกระทรวงพลังงานประกาศเชิญล่วงหน้า 4 วัน และเปิดเผยข้อมูลล่วงหน้าทางเวบไซท์ในวันเสาร์อาทิตย์ อันเป็นการตอกย้ำความ ‘ลวกๆ’ ในการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
จากปัญหาในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน จึงนำมาสู่ปัญหาในการเลือกใช้ข้อมูลในการวางแผนพีดีพี2010 ที่ไม่รอผลการศึกษาวิจัยที่กระทรวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างเองหรือไม่ใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่าสุด แต่กลับเลือก ‘จิ้ม’ ตัวเลขมาใช้จัดทำแผนเลย
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งที่การศึกษาของนิด้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนตัวเลขความยืดหยุ่นของการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ไฟฟ้า ที่นำมาใช้ในการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคตก็ไม่ได้ใช้ผลการศึกษา การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ที่ทางกระทรวงพลังงานเป็นผู้ว่าจ้างให้ศึกษาเอง
รวมไปถึงการเลือกใช้ตัวเลขการจัดการด้านความต้องการไฟฟ้า (หรือ DSM) ที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลการวิเคราะห์ล่าสุดในวารสารวิชาการนานาชาติเกี่ยวกับศักยภาพของ DSM ในภาคครัวเรือนของประเทศไทย ทั้งที่เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตไฟฟ้าทุกประเภท
กระทรวงพลังงาน ยังเลือกใช้ตัวเลขต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ที่ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลปัจจุบันในต่างประเทศ จึงทำให้โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดูเหมือนว่าราคาถูกและจำเป็นต้องเข้ามาในแผน ทั้งที่ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของพลังงานนิวเคลียร์จากมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กรีนพีซ และกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต โดยอ้างอิงประสบการณ์จริงในต่างประเทศจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนชี้ให้เห็นว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนสูงมาก และประเทศไทยมีทางเลือกพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่ถูกกว่าและมีผลกระทบน้อยกว่า
ดังนั้น หากพิจารณาบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของประชาชนในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 56 ที่รับรองสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ และมาตรา 57 วรรคสอง ที่กำหนดให้การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมฯ ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ
ทั้งนี้ในมาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง
การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการวางแผนพีดีพี2010 จึงมีประเด็นปัญหาหลายข้อเกี่ยวกับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ ซึ่งทางกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ควรมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับสังคมภายในการประชุมที่กำหนดไว้ในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคมนี้
มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
7 มีนาคม 2553
กระทรวงพลังงานกำลังจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2553-2573 หรือแผนพีดีพี2010 ในวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม โดยดำเนินการอย่างเร่งรีบเพื่อมุ่งจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาเห็นชอบในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคมนี้ ให้ได้ ทั้งที่แผนพีดีพี2010 เป็นแผนแม่บทของการพัฒนาระบบไฟฟ้าใน 20 ปีข้างหน้าที่กำหนดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 50 โรง มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 4 ล้านล้านบาท (ย้ำ! สี่ล้านล้านบาท) ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็อาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงได้
ดังเช่น โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง โรงไฟฟ้าถ่านหิน 13 โรง และเพิ่มการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศพม่าและลาวมากกว่า 10,000 เมกะวัตต์ เป็นต้น
แต่ความเร่งรีบของกระทรวงพลังงาน ทำให้มีการข้ามลัดขั้นตอนในกระบวนการจัดทำแผน โดยการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในอนาคต ที่กระทรวงพลังงานและสภาพัฒน์ฯ เป็นผู้ว่าจ้างให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้าทำการศึกษา เพื่อนำไปใช้พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคตและจัดทำเป็นแผนพีดีพีต่อไป ก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ แต่กลับดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ จนกำหนดร่างแผนพีดีพี 2010 ออกมาแล้ว
สำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก็ข้ามลัดขั้นตอนไปด้วย โดยทางกระทรวงพลังงาน จัดรับฟังความคิดเห็นเรื่อง การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคต ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจัดรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยเรื่อง สมมติฐานในร่างแผนพีดีพี ในวันเดียวกัน ถัดมาในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ กระทรวงพลังงานก็จัดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างแผนพีดีพี2010” โดยการศึกษาของนิด้า ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
สำหรับเวทีการรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างแผนพีดีพี 2010” มีการประกาศเชิญล่วงหน้าเพียง 7 วันและไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลร่างแผนพีดีพี 2010 ล่วงหน้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในเวทีดังกล่าวก็ไม่มีการให้ข้อมูลประเภทโครงการโรงไฟฟ้าที่กำหนดไว้ในแผนและถูกตั้งคำถาม จนมีการสรุปในช่วงท้ายเวทีว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นต่อสมมติฐานในการวางแผน และจะจัดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนพีดีพีอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่มาให้ข้อมูลในเวทีของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาอธิบายว่า เวทีวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เป็นการรับฟังความคิดเห็นต่อสมมติฐานในการวางแผน แต่ทางโรงแรมขึ้นชื่อเวทีผิด! ซึ่งสะท้อนถึงการจัดรับฟังความคิดเห็นแบบ ‘ลวกๆ’ ของกระทรวงพลังงาน
สำหรับการจัดรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะต่อร่างแผนพีดีพี 2010 ในวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม ก็จัดหลังจากเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มเฉพาะต่อผลการศึกษาของนิด้าเพียง 4 วัน โดยกระทรวงพลังงานประกาศเชิญล่วงหน้า 4 วัน และเปิดเผยข้อมูลล่วงหน้าทางเวบไซท์ในวันเสาร์อาทิตย์ อันเป็นการตอกย้ำความ ‘ลวกๆ’ ในการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
จากปัญหาในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน จึงนำมาสู่ปัญหาในการเลือกใช้ข้อมูลในการวางแผนพีดีพี2010 ที่ไม่รอผลการศึกษาวิจัยที่กระทรวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างเองหรือไม่ใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่าสุด แต่กลับเลือก ‘จิ้ม’ ตัวเลขมาใช้จัดทำแผนเลย
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งที่การศึกษาของนิด้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนตัวเลขความยืดหยุ่นของการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ไฟฟ้า ที่นำมาใช้ในการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในอนาคตก็ไม่ได้ใช้ผลการศึกษา การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ที่ทางกระทรวงพลังงานเป็นผู้ว่าจ้างให้ศึกษาเอง
รวมไปถึงการเลือกใช้ตัวเลขการจัดการด้านความต้องการไฟฟ้า (หรือ DSM) ที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลการวิเคราะห์ล่าสุดในวารสารวิชาการนานาชาติเกี่ยวกับศักยภาพของ DSM ในภาคครัวเรือนของประเทศไทย ทั้งที่เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตไฟฟ้าทุกประเภท
กระทรวงพลังงาน ยังเลือกใช้ตัวเลขต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ที่ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลปัจจุบันในต่างประเทศ จึงทำให้โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดูเหมือนว่าราคาถูกและจำเป็นต้องเข้ามาในแผน ทั้งที่ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของพลังงานนิวเคลียร์จากมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กรีนพีซ และกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต โดยอ้างอิงประสบการณ์จริงในต่างประเทศจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนชี้ให้เห็นว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนสูงมาก และประเทศไทยมีทางเลือกพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่ถูกกว่าและมีผลกระทบน้อยกว่า
ดังนั้น หากพิจารณาบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของประชาชนในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 56 ที่รับรองสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ และมาตรา 57 วรรคสอง ที่กำหนดให้การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมฯ ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ
ทั้งนี้ในมาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง
การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการวางแผนพีดีพี2010 จึงมีประเด็นปัญหาหลายข้อเกี่ยวกับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ ซึ่งทางกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ควรมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับสังคมภายในการประชุมที่กำหนดไว้ในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคมนี้