ASTVผู้จัดการออนไลน์ - การถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ และการถอนพาสปอร์ตธรรมดา หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้วยังอืดสุดๆ “พัชรวาท” ชิ่งยังไม่เห็นเรื่องใส่พานมาเสนอ ขณะที่คณะกรรมการกฤษฎีการับไม้จากกระทรวงการต่างประเทศ ตีความถอนพาสปอร์ตธรรมดาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนบัดนี้ยังเงียบ ส่วนการติดตามตัวจำเลยยัดคุกทุกฝ่ายเอาแต่ตั้งท่าหาความคืบหน้าไม่มี ท่ามกลางการส่งสัญญาณชวนมึนงงจากรัฐบาลมาร์คที่พร้อมเจรจาสมานฉันท์กับนักโทษชาย "ทักษิณ"
การถอดยศ “พ.ต.ท.ทักษิณ” และการเพิกถอนพาสปอร์ตของอดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปีในคดีจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก และคดีถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2551 เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดี ซึ่งต้องดำเนินการภายใน 30 วันหลังจากศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาคดี ยังเป็นไปอย่างล่าช้า
ทั้งนี้ ภายหลังคดีถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว มีเรื่องที่ต้องดำเนินการคือ 1) การติดตามนำตัวจำเลยกลับมารับโทษตามคำพิพากษาของศาล 2) การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 3) การยกเลิกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี ถืออยู่ คือ หนังสือเดินทางทูต หรือ พาสปอร์ตทูต หรือ พาสปอร์ตเล่มสีแดง และหนังสือเดินทางธรรมดาเล่มสีน้ำตาล
สำหรับการติดตามตัวจำเลยกลับมารับโทษเวลานี้ ยังไม่ปรากฏว่ามีความคืบหน้าใดๆ
กรณีนี้ ตามกระบวนการหลังจากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคดีถึงที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องสืบหาที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศ โดยการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมนำหลักฐานยืนยันถิ่นที่อยู่ส่งให้อัยการสูงสุดพร้อมคำร้องขอที่จะให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ ในกรณีที่ประเทศนั้นๆ มีการลงนามในสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศ หากประเทศนั้นๆ ไม่มีต้องใช้หลักการต่างตอบแทนแลกเปลี่ยนกัน
ส่วนการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สตช. ทำทีจดจ้องมาตั้งแต่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แต่เป็นที่รู้กันว่าภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลนอมินีทักษิณ นั้น สตช. ย่อมเตะถ่วงเรื่องนี้ไว้จนถึงที่สุด
กระทั่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลชุดใหม่ สตช.โดย พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับกองวินัย ในฐานะหน่วยงานต้นเรื่องได้ตรวจสอบและพบว่ากรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเงื่อนไของค์ประกอบตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 เนื่องจากต้องคำพิพากษาจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเสนอเรื่องไปยังกองกำลังพล เพื่อนำเรื่องไปยังพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ลงนามในคำสั่งถอดยศ
ดังนั้น เรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเมื่อผลัดเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท จะรีบตัดสินใจหรือจะเตะถ่วงดึงเรื่องไว้เหมือนที่ผ่านมา
สำหรับกรณีการเพิกถอนพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทางของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้พิจารณาถอนพาสปอร์ตสีแดงหรือพาสปอร์ตทางการทูต ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2551 แล้ว แต่หนังสือเดินทางธรรมดาเล่มสีน้ำตาลที่พ.ต.ท.ทักษิณ ถืออยู่อีกเล่มหนึ่งนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในเรื่องเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินทางตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาต่อไป
แต่จนบัดนี้เป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา ยังไม่ได้ส่งเรื่องการตีความกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศ แต่อย่างใด ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 6 ซึ่งมี นายอรุณ ภาณุพงศ์ เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการ คือ นางสาวสุคนธ์ กาญจนาลัย, นายพิชัยศักดิ์ หรยางกูร, นายสุเทพ เจตนาการณ์กุล, นายการุณ กิตติสถาพร, นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ, นายพชร ยุติธรรมดำรง และนายยรรยง พวงราช
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ มีอำนาจหน้าที่เพิกถอนพาสปอร์ตตามระเบียบของกระทรวงอยู่แล้ว ซึ่งระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางนั้น กำหนดให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกระทรวงการต่างประเทศ สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนเมื่อปรากฏเหตุภายหลังโดยระเบียบกำหนดไว้ 7 ประการ แต่เงื่อนไขที่น่าจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ คือ
1) เป็นบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ 3 ประการ ได้แก่
หนึ่ง เมื่อได้รังแจ้งว่า ผู้ขอผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวหรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีการออกหมายจับไว้แล้วซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้
สอง เมื่อผู้ขอเป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
และ สาม เมื่อผู้ขอกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญหรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหรือต่ออายุหนังสือเดินทางหรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้
2) พิจารณาเห็นว่า หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้
เมื่อพิจารณาจากระเบียบการยกเลิกหนังสือเดินทางแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า พฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเงื่อนไขการยกเลิกพาสปอร์ตแดงอย่างชัดเจน คือหลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯและถูกออกหมายจับรวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ต่างประเทศอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทย เช่น การโฟนอินโจมตีกระบวนการยุติธรรมหรือศาลและการจวบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
ความล่าช้าในกระบวนการติดตามตัวอดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาลงโทษ การถอดยศ และเพิกถอนพาสปอร์ตธรรมดา ทางหนึ่งเป็นบททดสอบฝีมือการบริหารของรัฐบาลใหม่ เป็นการหยั่งท่าทีและรอดูว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีเสถียรภาพไปได้สักกี่น้ำ แต่อีกทางหนึ่งสัญญาณที่ส่งจากรัฐบาลกรณีหาทางติดต่อเจรจากับอดีตนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างความสมานฉันท์นั้น เป็นการสร้างความสับสนให้กับสังคมและหน่วยงานราชการซึ่งเป็นพวก “นกรู้” หลบเลี่ยงเอาตัวรอด ให้ถอยห่างออกมายืนดูอย่างนิ่งเฉย ถ่วงเวลาจนรัฐบาลชุดนี้หมดอำนาจไป