ลิ่วล้อพล่าน ขวางตำรวจเสนอถอดยศแม้ว อ้างเป็นถึงอดีตนายกฯ เคยทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ แถมขู่อาจทำให้ประชาชนคนรักแม้วไม่พอใจ ออกมาประท้วงได้ "สาก"ยื่นกระทู้ถามนายกฯล่วงหน้าก่อนสภาเปิด อ้างเฉยคดีที่ดินรัชดา"แม้ว"ไม่ผิด ด้าน"พัชรวาท" เผยยังไม่ได้รับเรื่อง ชี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ "สุเทพ"ยันรัฐบาลไม่ได้สั่งการ แต่จะไปผลีผลามสั่งระงับไม่ได้ เดี๋ยวซวยเอง ด้าน"อภิสิทธิ์" เจอตำรวจลองของ ระบุทำตามคำสั่งนักการเมืองแต่สุดท้ายต้องเป็นแพะรับบาป ต่อไปคงไม่มีใครกล้าทำงาน
จากกรณีที่กองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสนอถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น
นายนพดล ปัทมะ ทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อยากถามไปยังพล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และสตช.ว่าการเสนอเรื่องถอดยศ เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ เพราะขณะนี้บ้านเมืองและประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนมากมาย แต่ทางตำรวจกลับมีข้อเสนอเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการไล่บดขยี้ พ.ต.ท.ทักษิณให้หมดหนทางต่อสู้
ทั้งนี้ในเชิงกฎหมายที่เป็นกฎระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ในเรื่องนี้ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับบ้านเมือง จึงอยากขอฝากคำโบราณที่ว่า "คนล้มอย่าข้าม" เพราะการถอดยศของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีความยุติธรรมหรือไม่ และต้องพิจารณาว่าตำรวจที่ได้กระทำความผิด และอาจจะต้องติดคุกในขณะนี้ จะมีการดำเนินการถอดยศเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
สากยื่นกระทู้ถามนายกฯ
ด้านร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ยื่นกระทู้ถามด่วน ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไปที่จะมีขึ้นวันที่ 21ม.ค.นี้ ใน 3 ประเด็น คือ
1.นายกรัฐมนตรีเคยอ่านคำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีดังกล่าวหรือไม่
2.รัฐบาลมีส่วนรู้เห็นกับการออกข่าวของหน่วยงานของรัฐที่มักออกข่าวในทำนองว่า อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดในคดีทุจริตซื้อที่ดินซึ่งเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวปรากฏชัดเจนในหน้า 37 ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142 และมาตรา157 ทั้งนี้หากรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหลักความยุติธรรม ที่รัฐบาลหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล
3.รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร หากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนที่ยังรักและศรัทธาต่อผลงานอดีตนายกรัฐมนตรีออกมาประท้วง หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสตช.
แฉ"พัชรวาท"มีชนักติดหลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว ร.ต.ท.เชาวริน ได้นำเอกสารประทับตรา ลับมาก โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ทำถึง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 ก.ย.51 เพื่อขอทราบความคืบหน้า กรณีที่มีการตรวจสอบพบว่าพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กับพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาแจกกับสื่อมวลชน
โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า ตามที่บริษัทผู้ผลิตรายการรายหนึ่งถูกกีดกันไม่ให้เสนอราคาการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่ รายการของ สตช.จำนวน 3 รายการ ได้ร้องเรียนกล่าวหา พล.ต.อ.พัชรวาท ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. กับพวกรวม 3 คน ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ไม่ปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงการคลัง ได้จัดซื้อและจัดจ้างด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเจตนากระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอ็น-เอส-มีเดีย-แอสโซซิเอทส์ จำกัด จึงได้แต่ตั้ง พล.ต.ท.ทวีพร นามเสถียร ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ภายหลังการตรวจสอบ คณะกรรมการตรวจสอบเห็นว่าพล.ต.อ.พัชรวาท กับพวกรวม 3 คนได้กระทำความผิดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จริง และพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ยังระบุว่า ความผิดดังกล่าว ถือเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงเสนอนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ทำการตรวจสอบ แต่ยังไม่ทราบความคืบหน้า จึงทำหนังสือถึงนายสมชาย เพื่อขอความคืบหน้าในเรื่องนี้
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวด้วยว่า หากสตช.ว่างมาก ตนอยากฝากติดตามเรื่องนี้ และฝากถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขอให้ติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ด้วย เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยร้ายแรง
"พัชรวาท"ชี้เรื่องละเอียดอ่อน
ด้านพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาทุกแง่ทุกมุมให้เกิดความชัดเจน ต้องดูเจตนาของระเบียบ รวมถึงพิจารณาว่ารายละเอียดของระเบียบดังกล่าวเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่พิจารณาอย่างรอบคอบมากที่สุด
เมื่อถามถึงว่า กรณีนี้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ตอบคำถามนี้ พร้อมเดินกลับเข้าไปในสำนักงานผบ.ตร.ในทันที
"สุเทพ"ปัดไม่ได้เป็นผู้สั่งการ
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจมาก เพราะไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน เพิ่งรู้เรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยมีผู้สื่อข่าวโทรศัพท์มาสอบถาม ทั้งนี้ ในการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง ( 8 ม.ค.) ก็ไม่เห็นพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พูดอะไร วันนี้ตั้งใจว่าจะสอบถามทางสตช.ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการดำเนินการเรื่องนี้จริง แผนการที่ตนจะเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงมีปัญหาบ้าง แต่ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่แจ้งว่าจะเจรจากับตนหรือไม่
ส่วนการถอดยศถือว่ารุนแรงเกินไปหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ เพราะเรื่องการเสนอถอดยศ มีระเบียบกฎหมายอยู่ และตนไม่ได้ผลักดันให้ตำรวจดำเนินการเรื่องนี้แต่อย่างใด
"เรื่องนี้ไม่ใช่งานนโยบาย โดยเฉพาะนายกฯไม่เคยมีนโยบายดำเนินการกับใครในเรื่องใดเป็นพิเศษ สำหรับผมไม่มีอะไรโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่หากจะมีการดำเนินการตามกติกาของสตช.นั้น ก็ต้องดูว่า การดำเนินการนั้นถูกต้องชอบธรรมหรือไม่"
อย่างไรก็ตามตนจะไปดูที่สตช.ว่าเรื่องดังกล่าวนี้ ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับกฎหมายหรือไม่
"เรื่องนี้ผมจะไปผลีผลามสั่งระงับเลยคงไม่ได้ ต้องดูก่อนว่าเป็นอย่างไร อำนาจของคนเป็นรัฐบาลนั้นมีจำกัด จะไปใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายไม่ได้ และถ้าเรื่องนี้เจ้าหน้าที่เขาดำเนินการถูกต้อง แล้วผมไปสั่งระงับ ผมก็โดนนะซิ" นายสุเทพกล่าว
นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับการกองวินัย เตรียมยื่นเรื่องให้ ผบ.ตร. ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้คนมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองว่า ยอมรับว่าพล.ต.ท.ปัญญา เป็นญาติกับตนจริง แต่ตนไม่เคยสั่งหรือขอร้องให้กระทำการดังกล่าว
" พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีฐานความผิดด้านคดีอาญา และการหนีคดี จึงต้องถูกถอดยศอยู่แล้ว แต่การที่ต้องใช้เวลาพิจารณานาน จนล่วงเลยมาถึงรัฐบาลชุดนี้ ก็เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี การดำเนินการก็ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ ต้องรอให้มีการถอนพาสปอร์ตแดงก่อน จึงจะดำเนินการได้ "
"อภิสิทธิ์"ถูกตำรวจลองของ
วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะบรรยายพิเศษในหัวข้อ"เศรษฐกิจกับการเมืองไทย" แก่ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 13 ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมว่า ที่ผ่านมาตำรวจมักตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้ง เช่นกรณี 7 ต.ค.51 ที่เกิดขึ้น อยากบอกว่าไม่มีตำรวจคนใดที่อยากทำร้ายประชาชน แต่ด้วยความจำเป็น และหน้าที่ตามกฎหมายก็ต้องทำ สุดท้ายตำรวจจำนวนไม่น้อย ต้องตกเป็นเหยื่อที่ป.ป.ช.ชี้มูลในไม่ช้านี้ และถ้าในอนาคตมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกข้าราชการตำรวจควรจะทำอย่างไร และอยากฝากบอกนายกฯว่า ต่อไปถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครกล้าทำงานหรอก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีความตั้งใจว่า จะให้ตำรวจเปิดทางให้เราเข้าสภา แต่เพื่อไม่ดึงท่านเข้าสู่ความขัดแย้ง เราก็บอกว่าลองใช้เฉพาะโล่ และพลังที่เกิดขึ้นจากจำนวนกำลังพล และในวันนั้นจำนวนเจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุมใกล้เคียงกัน ประมาณฝ่ายละ 3,000 คน แต่เราไม่ให้เจ้าหน้าที่ถือกระบอง เพราะเกรงว่าแค่เงื้อแล้วมีรูปลงไป แล้วบังเอิญมีใครหัวแตกขึ้นมา ตำรวจก็จะเป็นเหยื่ออีก แต่เมื่อลองทำวิธีดังกล่าวไม่สำเร็จ จึงย้ายที่ประชุม นี่เป็นตัวอย่างของวิธีที่เราบริหาร คือเราไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า การสลายการชุมนุมจะไม่มีเลย
ลั่น7 ตุลาฯใครผิดก็ต้องผิด
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ถามว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 51 การใช้แก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภานั้นได้กระทำอย่างถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ อย่างไร ตรงนั้นตนก็ยังไม่ทราบว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร แต่กรรมการสิทธิมนุษยชนชี้มาแล้วเบื้องต้น แต่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ดำเนินการ หลักก็คือว่า ทุกคณะกรรมการที่สอบ แม้กระทั่งคณะกรรมการที่รัฐบาลชุดที่แล้วตั้งขึ้นเอง ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่าจริงๆแล้วการใช้แก๊สน้ำตา คงจะต้องมีการฝึกอบรม และมีขั้นตอนที่ชัดเจน ที่จริงแล้วตนซักซ้อมหมด มันมีวิธีการที่สลายโดยเครื่องมืออื่น แต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ได้ถามฝ่ายตำรวจและความมั่นคงว่า ถ้าใช้วิธีนี้มั่นใจหรือยังว่าสามารถทำได้ตามมาตรฐานสากล เขาบอกว่ายังไม่มั่นใจ เพราะยังไม่มีการฝึกมาอย่างที่จะทำให้มั่นใจได้ ตนจึงบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช้ แต่ต้องเตรียม และทำให้พร้อมต่อไปในวันข้างหน้า นี่คือแนวทางที่ตนคิดว่าจะช่วยผู้ปฏิบัติงานได้
"ผมไม่อยากไปขัดแย้งกัน แต่ก็เรียนให้ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนสูญเสียแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เชื่อว่าการสอบสวนของป.ป.ช.จะให้กับเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้าป.ป.ช.ชี้ว่าผิด ก็คือผิด"
ทั้งนี้เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ไม่ควรจะเกิดนั้น คือว่าตอนช่วงเช้า มีคนขาขาด แต่ไม่มีใครเสียชีวิต และสิ่งที่สังคมรับไม่ได้คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในระดับปฏิบัติในช่วงบ่าย-เย็น จึงเป็นเหตุให้ทุกอย่างลุกลามบานปลายออกไป และมีความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ตนเชื่อว่าหากฝ่ายนโยบายมีหลักคิด ต้องการที่จะปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนด้วยความถูกต้อง และทำหน้าที่อย่างสมดุล และมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต จะไม่มีใครเป็นเหยื่อ ดังนั้นตนจะขอยืนยัน ใช้แนวทางนี้ต่อไป
จากกรณีที่กองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสนอถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น
นายนพดล ปัทมะ ทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อยากถามไปยังพล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และสตช.ว่าการเสนอเรื่องถอดยศ เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ เพราะขณะนี้บ้านเมืองและประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนมากมาย แต่ทางตำรวจกลับมีข้อเสนอเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการไล่บดขยี้ พ.ต.ท.ทักษิณให้หมดหนทางต่อสู้
ทั้งนี้ในเชิงกฎหมายที่เป็นกฎระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ในเรื่องนี้ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับบ้านเมือง จึงอยากขอฝากคำโบราณที่ว่า "คนล้มอย่าข้าม" เพราะการถอดยศของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีความยุติธรรมหรือไม่ และต้องพิจารณาว่าตำรวจที่ได้กระทำความผิด และอาจจะต้องติดคุกในขณะนี้ จะมีการดำเนินการถอดยศเช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
สากยื่นกระทู้ถามนายกฯ
ด้านร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ยื่นกระทู้ถามด่วน ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไปที่จะมีขึ้นวันที่ 21ม.ค.นี้ ใน 3 ประเด็น คือ
1.นายกรัฐมนตรีเคยอ่านคำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีดังกล่าวหรือไม่
2.รัฐบาลมีส่วนรู้เห็นกับการออกข่าวของหน่วยงานของรัฐที่มักออกข่าวในทำนองว่า อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดในคดีทุจริตซื้อที่ดินซึ่งเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวปรากฏชัดเจนในหน้า 37 ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 142 และมาตรา157 ทั้งนี้หากรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหลักความยุติธรรม ที่รัฐบาลหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล
3.รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร หากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนที่ยังรักและศรัทธาต่อผลงานอดีตนายกรัฐมนตรีออกมาประท้วง หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสตช.
แฉ"พัชรวาท"มีชนักติดหลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว ร.ต.ท.เชาวริน ได้นำเอกสารประทับตรา ลับมาก โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ทำถึง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 ก.ย.51 เพื่อขอทราบความคืบหน้า กรณีที่มีการตรวจสอบพบว่าพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กับพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาแจกกับสื่อมวลชน
โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า ตามที่บริษัทผู้ผลิตรายการรายหนึ่งถูกกีดกันไม่ให้เสนอราคาการจัดจ้างโฆษณาและเผยแพร่ รายการของ สตช.จำนวน 3 รายการ ได้ร้องเรียนกล่าวหา พล.ต.อ.พัชรวาท ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. กับพวกรวม 3 คน ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ไม่ปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงการคลัง ได้จัดซื้อและจัดจ้างด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเจตนากระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอ็น-เอส-มีเดีย-แอสโซซิเอทส์ จำกัด จึงได้แต่ตั้ง พล.ต.ท.ทวีพร นามเสถียร ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ภายหลังการตรวจสอบ คณะกรรมการตรวจสอบเห็นว่าพล.ต.อ.พัชรวาท กับพวกรวม 3 คนได้กระทำความผิดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จริง และพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ยังระบุว่า ความผิดดังกล่าว ถือเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง จึงเสนอนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ทำการตรวจสอบ แต่ยังไม่ทราบความคืบหน้า จึงทำหนังสือถึงนายสมชาย เพื่อขอความคืบหน้าในเรื่องนี้
ร.ต.ท.เชาวริน กล่าวด้วยว่า หากสตช.ว่างมาก ตนอยากฝากติดตามเรื่องนี้ และฝากถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขอให้ติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ด้วย เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยร้ายแรง
"พัชรวาท"ชี้เรื่องละเอียดอ่อน
ด้านพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาทุกแง่ทุกมุมให้เกิดความชัดเจน ต้องดูเจตนาของระเบียบ รวมถึงพิจารณาว่ารายละเอียดของระเบียบดังกล่าวเขียนไว้ว่าอย่างไร ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่พิจารณาอย่างรอบคอบมากที่สุด
เมื่อถามถึงว่า กรณีนี้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ตอบคำถามนี้ พร้อมเดินกลับเข้าไปในสำนักงานผบ.ตร.ในทันที
"สุเทพ"ปัดไม่ได้เป็นผู้สั่งการ
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจมาก เพราะไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน เพิ่งรู้เรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยมีผู้สื่อข่าวโทรศัพท์มาสอบถาม ทั้งนี้ ในการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง ( 8 ม.ค.) ก็ไม่เห็นพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พูดอะไร วันนี้ตั้งใจว่าจะสอบถามทางสตช.ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีการดำเนินการเรื่องนี้จริง แผนการที่ตนจะเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงมีปัญหาบ้าง แต่ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่แจ้งว่าจะเจรจากับตนหรือไม่
ส่วนการถอดยศถือว่ารุนแรงเกินไปหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ เพราะเรื่องการเสนอถอดยศ มีระเบียบกฎหมายอยู่ และตนไม่ได้ผลักดันให้ตำรวจดำเนินการเรื่องนี้แต่อย่างใด
"เรื่องนี้ไม่ใช่งานนโยบาย โดยเฉพาะนายกฯไม่เคยมีนโยบายดำเนินการกับใครในเรื่องใดเป็นพิเศษ สำหรับผมไม่มีอะไรโกรธเคืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่หากจะมีการดำเนินการตามกติกาของสตช.นั้น ก็ต้องดูว่า การดำเนินการนั้นถูกต้องชอบธรรมหรือไม่"
อย่างไรก็ตามตนจะไปดูที่สตช.ว่าเรื่องดังกล่าวนี้ ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับกฎหมายหรือไม่
"เรื่องนี้ผมจะไปผลีผลามสั่งระงับเลยคงไม่ได้ ต้องดูก่อนว่าเป็นอย่างไร อำนาจของคนเป็นรัฐบาลนั้นมีจำกัด จะไปใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายไม่ได้ และถ้าเรื่องนี้เจ้าหน้าที่เขาดำเนินการถูกต้อง แล้วผมไปสั่งระงับ ผมก็โดนนะซิ" นายสุเทพกล่าว
นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับการกองวินัย เตรียมยื่นเรื่องให้ ผบ.ตร. ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้คนมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองว่า ยอมรับว่าพล.ต.ท.ปัญญา เป็นญาติกับตนจริง แต่ตนไม่เคยสั่งหรือขอร้องให้กระทำการดังกล่าว
" พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีฐานความผิดด้านคดีอาญา และการหนีคดี จึงต้องถูกถอดยศอยู่แล้ว แต่การที่ต้องใช้เวลาพิจารณานาน จนล่วงเลยมาถึงรัฐบาลชุดนี้ ก็เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี การดำเนินการก็ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ ต้องรอให้มีการถอนพาสปอร์ตแดงก่อน จึงจะดำเนินการได้ "
"อภิสิทธิ์"ถูกตำรวจลองของ
วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะบรรยายพิเศษในหัวข้อ"เศรษฐกิจกับการเมืองไทย" แก่ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 13 ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมว่า ที่ผ่านมาตำรวจมักตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้ง เช่นกรณี 7 ต.ค.51 ที่เกิดขึ้น อยากบอกว่าไม่มีตำรวจคนใดที่อยากทำร้ายประชาชน แต่ด้วยความจำเป็น และหน้าที่ตามกฎหมายก็ต้องทำ สุดท้ายตำรวจจำนวนไม่น้อย ต้องตกเป็นเหยื่อที่ป.ป.ช.ชี้มูลในไม่ช้านี้ และถ้าในอนาคตมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกข้าราชการตำรวจควรจะทำอย่างไร และอยากฝากบอกนายกฯว่า ต่อไปถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีใครกล้าทำงานหรอก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีความตั้งใจว่า จะให้ตำรวจเปิดทางให้เราเข้าสภา แต่เพื่อไม่ดึงท่านเข้าสู่ความขัดแย้ง เราก็บอกว่าลองใช้เฉพาะโล่ และพลังที่เกิดขึ้นจากจำนวนกำลังพล และในวันนั้นจำนวนเจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุมใกล้เคียงกัน ประมาณฝ่ายละ 3,000 คน แต่เราไม่ให้เจ้าหน้าที่ถือกระบอง เพราะเกรงว่าแค่เงื้อแล้วมีรูปลงไป แล้วบังเอิญมีใครหัวแตกขึ้นมา ตำรวจก็จะเป็นเหยื่ออีก แต่เมื่อลองทำวิธีดังกล่าวไม่สำเร็จ จึงย้ายที่ประชุม นี่เป็นตัวอย่างของวิธีที่เราบริหาร คือเราไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า การสลายการชุมนุมจะไม่มีเลย
ลั่น7 ตุลาฯใครผิดก็ต้องผิด
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ถามว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 51 การใช้แก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภานั้นได้กระทำอย่างถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ อย่างไร ตรงนั้นตนก็ยังไม่ทราบว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร แต่กรรมการสิทธิมนุษยชนชี้มาแล้วเบื้องต้น แต่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ดำเนินการ หลักก็คือว่า ทุกคณะกรรมการที่สอบ แม้กระทั่งคณะกรรมการที่รัฐบาลชุดที่แล้วตั้งขึ้นเอง ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่าจริงๆแล้วการใช้แก๊สน้ำตา คงจะต้องมีการฝึกอบรม และมีขั้นตอนที่ชัดเจน ที่จริงแล้วตนซักซ้อมหมด มันมีวิธีการที่สลายโดยเครื่องมืออื่น แต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ได้ถามฝ่ายตำรวจและความมั่นคงว่า ถ้าใช้วิธีนี้มั่นใจหรือยังว่าสามารถทำได้ตามมาตรฐานสากล เขาบอกว่ายังไม่มั่นใจ เพราะยังไม่มีการฝึกมาอย่างที่จะทำให้มั่นใจได้ ตนจึงบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช้ แต่ต้องเตรียม และทำให้พร้อมต่อไปในวันข้างหน้า นี่คือแนวทางที่ตนคิดว่าจะช่วยผู้ปฏิบัติงานได้
"ผมไม่อยากไปขัดแย้งกัน แต่ก็เรียนให้ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนสูญเสียแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เชื่อว่าการสอบสวนของป.ป.ช.จะให้กับเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้าป.ป.ช.ชี้ว่าผิด ก็คือผิด"
ทั้งนี้เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ไม่ควรจะเกิดนั้น คือว่าตอนช่วงเช้า มีคนขาขาด แต่ไม่มีใครเสียชีวิต และสิ่งที่สังคมรับไม่ได้คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในระดับปฏิบัติในช่วงบ่าย-เย็น จึงเป็นเหตุให้ทุกอย่างลุกลามบานปลายออกไป และมีความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ตนเชื่อว่าหากฝ่ายนโยบายมีหลักคิด ต้องการที่จะปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนด้วยความถูกต้อง และทำหน้าที่อย่างสมดุล และมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต จะไม่มีใครเป็นเหยื่อ ดังนั้นตนจะขอยืนยัน ใช้แนวทางนี้ต่อไป