xs
xsm
sm
md
lg

"หุ่นเชิด"บ้อท่า เร่งประชานิยม ตีปี๊บแจกเงินซื้อเสียงล่วงหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.คลัง (ซ้าย) กำลังพูดคุยกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ผู้จัดการรายวัน - รัฐบาลหุ่นเชิดเร่งอัดสารพัดประชานิยมปกปิดความไร้ฝีมือจนเกิดกลียุค จัดแคมเปญโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม งัดคูปองเติมเงินซื้อเสียงคนจนล่วงหน้า แจกโควต้าน้ำมันราคาถูกให้ภาคขนส่ง ทุ่มซื้อใจเกษตรกร เพิ่มเงินราคาอ้อย รับจำนำข้าว จำนำกุ้ง ขายฝันเมกะโปรเจคพัฒนาแหล่งน้ำ รถไฟฟ้า หวังการันตีชัยชนะเลือกตั้งครั้งหน้า

การเข้าบริหารประเทศของรัฐบาลหุ่นเชิด ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อฟอกความผิดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี เครือญาติและพวกพ้อง โดยมุ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ โดยไม่นำพาต่อการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง ปัญหาปากท้องของประชาชนโดยรวมมาตั้งแต่ต้น ก่อให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อพุ่งกระฉูด เมื่อราคาน้ำมันของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต้นทุนการผลิต ค่าครองชีพเป็นลูกโซ่

เมื่อปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าหนักหน่วงขึ้น รัฐบาลหุ่นเชิดเลือกใช้วิธีแก้ไขโดยใช้การเมืองนำตามแนวถนัด ด้วยการงัดโครงการประชานิยม จัดแคมเปญลดแลกแจกแถมลงไปยังกลุ่มฐานคะแนนเสียงของพรรครัฐบาล ล่าสุด การออกคูปองเติมเงินอุดหนุนค ่าครองชีพให้กับคนยากจน ผู้มีรายได้น้อย หัวละประมาณ 300 –400 บาท/เดือน เป็นเวลา 6 – 12 เดือน เท่ากับเป็นการแจกเงินซื้อเสียงล่วงหน้าโดยใช้เงินภาษีของประชาชนทั่วประเทศ เพื่อโกยคะแนนเสียงไปเต็มๆ

หากยึดฐานการลงทะเบียนคนจนของกระทรวงมหาดไทยและเส้นแบ่งรายได้ความยากจนของสภาพัฒน์ ประมาณว่า มีกลุ่มผู้ยากจนที่อยู่ในข่ายได้รับคูปองเติมเงินผ่านบัตรประชาชน จำนวน 8 ล้านคนนั้น ถ้ารัฐบาลจ่ายต่อหัวเดือนละ 300 บาท เป็นเวลา 12 เดือน จะเท่ากับ 3,600 บาท/หัว หากจ่าย 400 บาทต่อหัว เป็นเวลา 12 เดือน เท่ากับ 4,800 บาท/หัว

คูปองอุดหนุนค่าครองชีพหรือคูปองเติมเงิน ซึ่งอาจจะออกเป็นคูปองหรือแจกเป็นเงินสดๆ ถือเป็น "ผลิตภัณฑ์ใหม่" ของโครงการประชานิยม ที่แจกเงินถึงมือคนจน ฐานเสียงสำคัญของพรรคพลังประชาชน เจาะกลุ่มเป้าหมายรายหัวโดยตรง เป็นการแจกกันจะ จะ แจกกันเห็นๆ แถมยังรับประกันแจกให้ล่วงหน้า อย่างน้อย 6 เดือน ถึงหนึ่งปี รวมๆ แล้วตกหัวละเกือบหมื่นบาท มากกว่าการได้รับแจกช่วงเลือกตั้งคราวละพันสองพัน และต่างจากการแจกคราวก่อนๆ ที่ผ่านกองทุนหมู่บ้านและเอสเอ็มแอล ที่เป็นการแจกเพื่อ "ซื้อชุมชน"

การต่อยอดโครงการประชานิยม ด้วยคูปองเติมเงินครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการการันตีชัยชนะต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างชัดเจนไม่ว่าฤดูกาลเลือกตั้งจะเริ่มขึ้นเมื่อใด พรรคพลังประชาชน หรือร่างทรงของไทยรักไทย จะชนะขาดแน่นอน !!

***อัดฉีดกองทุนฯ-SMLมัดใจชุมชนต่อเนื่อง

โครงการประชานิยม ซึ่งพรรคไทยรักไทยได้ออกแบบไว้จนกลายเป็นโมเดลความสำเร็จของงานการเมือง อย่างเช่นกองทุนหมู่บ้าน และเอสเอ็มแอล เป็นโครงการที่ "ซื้อชุมชน" ให้สนับสนุนพรรค ได้รับการอัดฉีดทันทีหลังรัฐบาลหุ่นเชิด ที่นำโดยพรรคพลังประชาชน ร่างทรงไทยรักไทย ขึ้นเถลิงอำนาจ

ถึงแม้กองทุนหมู่บ้าน ในความเป็นจริงจะมีปัญหามากมาย และอยู่ได้ด้วยหนี้หมุนที่ชาวบ้านต้องกู้หนี้นอกระบบมาจ่ายแล้วกู้กองทุนฯ ได้ต่อ แต่แรงโหมโฆษณาถึงความสำเร็จได้กลบปัญหาวงจรหนี้อุบาทว์ไปจนสิ้น ขณะที่โครงการเอสเอ็มแอล ที่รัฐบาลแจกเงินลงไปยังหมู่บ้านลงไปโดยไม่ต้องคืน ยิ่งสร้างความปลาบปลื้มให้คนในชุมชนโดยเฉพาะระดับแกนนำ หรือนัยหนึ่งก็คือ หัวคะแนนของพรรคนั่นเอง

ดังนั้น ภายหลังบริหารประเทศได้เพียงเดือนเศษ ครม.สมัคร ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 เม.ย. อัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า ตามที่ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.กระทรวงการคลัง เป็นผู้เสนอ คือ โครงการSML วงเงิน 40,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี โครงการกองทุนหมู่บ้านฯ วงเงิน 4,000 ล้านบาท ทั้งยังให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมวงเงินสินเชื่อเพื่อปล่อยกู้ 16,000 ล้านบาท และทางรัฐบาลจะใช้วงเงินกู้จากธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ส่วนที่เหลืออยู่ 7,769.61 ล้านบาท โอนไปเป็นทุนประเดิมให้กับหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก่อนสิ้นปี 2550 จำนวน 1,600 แห่ง รวม 1,600 ล้านบาท

โครงการบ้าน ธอส.เพื่ออยู่อาศัยแห่งแรกผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 10,000 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูและพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจนเป็นระยะเวลา 2 ปี ใช้งบประมาณ 4,073 ล้านบาท โครงการสินเชื่อเพื่อเกษตรกรขอ ง ธ.ก.ส.ในปีบัญชี 2551 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ทาง ธ.ก.ส.ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 325,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อธนาคารประชาชนของธนาคารออมสิน วงเงิน 5,000 ล้านบาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ช่วงเดือนมี.ค. ครม.มีมติเห็นชอบแพกเกจมาตราการภาษีเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตามที่คลังเสนอ ทั้งมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนที่มีฐานะปานกลางและด้อยโอกาส มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ พร้อมกับยืดเวลาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ออกไปอีก 2 ปี และลดภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุด จาก 2% เหลือ 0.01% ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 42,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้ออกฤทธิ์ดังที่รัฐบาลคาดหวัง เพราะต้องรอร่างกฎหมายหลายฉบับ และติดเงื่อนไขกฎระเบียบยุ่บยั่บ ทำให้รัฐบาลต้องหามุขใหม่ออกมากลบทับไปเรื่อยๆ

***เจาะซื้อเสียงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ

เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ออกมาจึงมุ่งหวังเอาใจคนใช้รถเป็นอันดับแรก โดยสนับสนุนให้นำเข้ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน E 85 ซึ่งราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณลิตรละ 25 บาท ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้โดยให้สิทธิพิเศษด้านภาษีสรรสามิต และรถยนต์ที่เติมเบนซิน E 20 จะเสียภาษีต่ำกว่าเบนซินธรรมดา
 
ส่วนผู้ใช้รถยนต์เก่าก็หนุนให้ไปใช้ก๊าซเอ็นจีวี โดยจะทำให้ค่าติดตั้งระบบก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์ต่ำกว่า 50% แต่มาตราการรอบนี้ฟังดูแล้วยังเลื่อนลอยและทำได้ยาก เพราะการตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่ที่ใช้เบนซิน E 85 ซึ่งยังไม่ได้นำเข้ามาขายด้วยซ้ำนั้น เป็นเหมือนนิทานหลอกเด็ก เช่นเดียวกับก๊าซเอ็นจีวีที่หาปั๊มเติมยากต้องต่อคิวยาวเหยียวนับกิโล

จะมีรูปธรรมการจับต้องได้ก็แต่เพียงการบีบคอโรงกลั่นน้ำมันให้จัดสรรน้ำมันดีเซลจำนวนหนึ่งประมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อจำหน่ายให้กลุ่มผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะในภาคขนส่ง ในราคาต่ำกว่าท้องตลาดลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมิ.ย. – พ.ย. นี้

มาตรการช่วยเหลือเรื่องน้ำมันราคาต่ำกว่าท้องตลาดว่าไปแล้วเป็นเหมือนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซื้อเสียงเฉพาะกลุ่ม กลุ่มไหนที่เดือดร้อนและมีพลังต่อรองสูงเช่น กลุ่มรถร่วม มินิบัส รัฐบาลก็จัดสรรน้ำมันถูกให้ นอกจากรถร่วมฯ แล้ว เวลานี้สิงห์รถบรรทุกกำลังต่อรองด้วยคำขู่ปิดถนนม็อบใหญ่ เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ ครม.ก็อนุมัติให้องค์การสะพานปลา เปิดให้บริการปั๊มน้ำมันม่วงบริเวณชายฝั่งเพื่อช่วยเหลือเรือประมง โดยรัฐบาลจะจ่ายค่าชดเชยค่าน้ำมันในอัตราลิตรละ 2 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 15 ลิตร นาน 6 เดือน การแก้ไขปัญหาในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นเหมือนการจัดโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่มเพื่อปิดปากและซื้อใจกัน ส่วนประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เดือดร้อนก็ก้มหน้ารับกรรมไป

***ทุ่มไม่อั้นล็อกฐานการเมืองสำคัญ

แคมเปญโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ที่แอบแฝงไปด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมืองและผลประโยชน์ มีมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการอนุมัติจากครม.อย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เช่น การเพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย จากเดิมที่ประกาศราคาอ้อยในฤดูกาลผลิต 2550/2551 ราคาตันละ 700 บาท เพิ่มเป็นตันละ 807 บาท โดยอ้างว่าเพื่อให้คุ้มกับต้นทุนการผลิตของชาวไร่

การเพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อยครั้งนี้ ครม.ได้อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำตาลรวดเดียวกิโลกรัมละ 5 บาท เป็นการล้วงกระเป๋าผู้บริโภคน้ำตาลที่ไม่ได้รู้เรื่องและยังไม่ได้อ้าปากโต้แย้งแม้แต่คำเดียว เพราะความจริงแล้วน้ำตาลมีการผลิตล้นเกินความต้องการ ราคาแทนที่จะถูกลงแต่กลับถูกทำให้แพงขึ้น

ราคาน้ำตาลที่ขึ้นพรวดพราด โดยราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิม 17.50 บาท ปรับเพิ่มเป็น 23.50 บาท เมื่อรวมค่าแพกเกจจิ้ง ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่พึ่งพาน้ำตาลเป็นวัตถุดิบพาเหรดขึ้นราคาเป็นทิวแถว ขณะที่เม็ดเงินโดยรวมที่ได้จากการขึ้นราคาน้ำตาล นอกจากจะนำมาเพิ่มค่าอ้อยให้กับชาวไร่แล้ว ยังนำไปล้างหนี้น้ำตาลของกองทุนอ้อยและน้ำตาลซึ่งติดค้างธ.ก.ส.อยู่รวมๆ แล้วทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่ที่ธ.ก.ส.จะปล่อยกู้ให้มาเพิ่มราคาอ้อยในฤดูกาลผลิต 2550/2551ตกประมาณ 32,000 ล้านบาท

การเพิ่มราคาอ้อยเป็นผลประโยชน์บนเกมการเมืองโดยแท้ เมื่อกลุ่มชาวไร่อ้อยในนามสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน ออกมาเคลื่อนไหวให้ปรับราคาอ้อยใหม่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม รีบกุลีกุจอเอาใจฐานเสียงชาวไร่อ้อยในภาคอีสาน ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนายสุวิทย์ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มีสถานภาพเป็นส.ส.สอบตก ย่อมต้องการล็อกฐานคะแนนเสียงเพื่อประกันความเสี่ยงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่นับกระแสข่าวที่หนาหูว่ามีรายการใต้โต๊ะติดปลายนวมอีกไม่น้อย

ไม่เพียงแต่การปรับเพิ่มราคาอ้อยเท่านั้นที่เดินเกมการเมืองระหว่างแกนนำเกษตรกรชาวไร่อ้อยกับนักการเมืองจนนำไปสู่การอนุมัติจัดหาเม็ดเงินมาให้ตามข้อเรียกร้องอย่างรวดเร็ว ล่าสุด กรณีการอนุมัติโครงการรับจำนำข้าวโดยอ้างผลประโยชน์ของชาวนาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน

ขณะที่ราคาข้าวทั่วโลกยังไต่ทะยานนับตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมาและมีทีท่าปรับลดลงมาบ้างเล็กน้อย รัฐบาลโดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ก็โชว์ออฟทั้งตรึงและดึงราคาข้าวหวังเอาใจทั้งกลุ่มชาวนาและผู้บริโภค ด้านหนึ่ง ต้องการให้ราคาสูง ด้านหนึ่งต้องการให้ราคาต่ำลง

การบริหารจัดการ การส่งสัญญาณของรัฐบาลเรื่องราคาข้าวที่ออกลูกมั่ว ทำให้ผู้บริโภคเจอวิกฤตข้าวแพงทั้งที่เมืองไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและไม่ได้ขาดแคลน ขณะเดียวกันโอกาสของชาวนาก็กลับกลายเป็นวิกฤต แต่วิกฤตกลับกลายเป็นโอกาสของรัฐบาลที่ต้องการเอาเงินงบประมาณออกมาใช้จ่ายเพื่อเอาใจชาวนาบางกลุ่มและโรงสี-พ่อค้าคนกลางที่กดราคาสต็อกข้าวเอาไว้ในมือรออยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด
 
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลโครงการรับจำนำข้าวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาว่าล้มเหลว ราคาข้าวไม่ได้กระเตื้องขึ้นจากมาตรการรับจำนำ หรือทำได้ก็แต่เพียงเล็กน้อย หนำซ้ำยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันมโหฬาร

โครงการรับจำนำข้าวนาปรัง ในราคา 14,000 บาทต่อตัน ที่ความชื้นไม่เกิน 15% ประมาณการผลผลิต 2.5 ล้านตัน ในครั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติวงเงินงบประมาณ 2.8 – 3.5 หมื่นล้านบาท โดยมีค่าบริหารจัดการประมาณพันล้านบาท สำหรับธ.ก.ส.และองค์การคลังสินค้า ที่ร่วมรับผิดชอบโครงการ และหากวงเงินในโครงการรับจำนำข้าวเกินกว่าประมาณการไว้รัฐบาลก็พร้อมจะชดเชยให้

นายสมัคร สุนทรเวช งัดโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมา ภายหลังจากม็อบชาวนาในภาคเหนือที่ก่อตัวประท้วงเรื่องราคาข้าวตกต่ำ กระทั่งขมวดตบท้ายด้วยคำขู่ปิดถนนของแกนนำม็อบจากสมาคมชาวนาไทย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นสมาคมชาวนาที่เป็นตัวแทนกลุ่มโรงสีในเขตภาคกลาง ฐานเสียงของพรรคชาติไทย ที่ทำมาหากินกับธุรกิจค้าข้าว นับตั้งแต่ลานตาก โรงสี ฯลฯ

ขณะที่รัฐบาลโปรยเงินนับหมื่นล้านรับจำนำข้าว ในช่วงจังหวะเดียวกันก็หยิบเศษเงิน ประมาณ 300 ล้านบาท ให้อคส.รับจำนำกุ้ง จำนวน 1 หมื่นตัน ในราคาขั้นต่ำ 120 บาทต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับขนาดของกุ้ง ใช้เวลาในการดำเนินการเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ มิ.ย. - ต.ค. เพื่อปิดปากม็อบจาก 8 จังหวัดภาคใต้ที่รวมตัวชุมนุมประท้วงที่สงขลา

***ตีปี๊บโครงการหว่านฝันกลางวันแสกๆ

นอกจากแคมเปญลดแลกแจกแถมสารพัดโครงการแล้ว ยังมีโครงการหว่านฝันในอนาคตด้วยการขอคืนที่ราชพัสดุเพื่อนำมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร โดยให้กระทรวงต่างๆ ส่วนราชการสำรวจและส่งคืนที่ราชพัสดุที่ครอบครองไว้เกินจำเป็น โดยตั้งเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่

โครงการขายฝันให้เกษตรกรเช่าที่ราชพัสดุทำการเกษตรนี้ แทบไม่ต่างไปจากเมกะโปรเจค เช่น โครงการรถไฟฟ้า 9 สาย วงเงินลงทุนหลายแสนล้าน โครงการรถไฟรางคู่รวมทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศ ผันน้ำโขงด้วยระบบท่อ ฯลฯ ที่ยังมองไม่เห็นรูปธรรมว่าจะเป็นจริงได้เมื่อใด ที่ได้ยินมีแต่เสียงตีปั๊บดังโขมงโฉงเฉงเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น