เสียงสะท้อนจากกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ที่หวงแหนผืนแผ่นดินที่ทำกินถิ่นพำนัก แผ่วเบาและเริ่มเลือนหายไปจากความสนใจของสังคมหลังเหตุการณ์อันเลวร้ายถึงขั้นมีคนตายจากกรณีม็อบสองฝ่ายเผชิญหน้า ขณะที่ความจริงจากพื้นที่ที่กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง พยายามกู่ก้องตะโกนให้หน่วยงานรัฐผู้มีอำนาจหันมาจัดการปัญหายังไม่ได้รับเหลียวแลแก้ไข ฤาประชาชนจะต้องถูกกดทับให้เป็นคนโง่งม ให้จำยอมตกเป็นเหยื่อของการพัฒนาอยู่ร่ำไป
“เสม็ดขาว” จากกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ถ่ายทอดเรื่องราวชาวแม่รำพึงผ่านข้อเขียน “มองประชาชนเป็นคนโง่ ย่อมเป็นเหยื่อของการพัฒนา” เพื่อบอกเล่าสภาพที่ชาวแม่รำพึงต้องประสบให้สังคมได้รับรู้ ระคนกับความคับแค้น อัดอั้นตันใจ และหวาดหวั่นต่ออนาคตของชาวแม่รำพึงที่เสี่ยงต่อการล่มสลาย ท่ามกลางอิทธิพลมืดที่ปกคลุมอยู่ในพื้นที่
................................
จากเหตุการณ์ร้อนๆ เมื่อ 24 มกราคม ที่ผ่านมา ต่อความรุนแรงในการคัดค้านโครงการ โรงถลุงเหล็ก ของเครือสหวิริยา ที่ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้อะไรแก่สังคมลืมง่ายอย่างคนไทยบ้าง ?
จนถึงขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังไม่เห็นทีท่าทุกข์ร้อนจากหน่วยงานไหนออกมาแสดงตัวตนในการร่วมแก้ปัญหาหรือเข้ามารับรู้ปัญหาที่แท้จริงแม้แต่รายเดียว ซึ่งก็เป็นบรรยากาศเดียวกันกับที่ผ่านมาเกือบสองปีที่ชาวบ้านพยายามบอกถึงความเดือดร้อนและปัญหาต่างๆ ต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย แต่ก็ดูเสมือนว่าธุระไม่ใช่เอาไว้ก่อน
โดยเฉพาะสื่อ ทีวี ช่องหลักๆ ทั้งหลาย ดูจากเรื่องราวก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเล็กสักเท่าไหร่ แต่ไม่มีสื่อใดมาเจาะลึกแม้แต่รายเดียว อาจจะเสียว ๆ เพราะคงจะทราบมาบ้างว่าใครมีหุ้น ใครอยู่เบื้องหลังโครงการนี้บ้าง หรือก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับกลุ่มชุดสูทที่จะเข้ามาวางแผนพัฒนาประเทศกลุ่มใหม่ แต่คนเดิมๆ ที่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับชาวบ้านที่มองว่าโง่ ๆ อีกต่อไป...
***จุดเริ่มแผนการอันแยบยล
อำเภอบางสะพาน คือหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดประจวบฯ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจุดแคบที่สุดเพียง 12 กิโลเมตร ที่ที่ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง และมีชายหาดยาวเหยียดทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งติดอ่าวไทย เป็นระยะทาง 224.8 กิโลเมตร เป็นเมืองชายทะเลที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ
นอกจากนี้ ยังมีทิวเขาสลับซับซ้อน สมดังความหมายของชื่อจังหวัดที่แปลว่า " เมืองที่เป็นภูเขาเป็นหมู่ ๆ ยาวพืดทั่วไป " ดังนั้น นอกจากแหล่งท่องเที่ยวประเภทชายหาดแล้ว ยังมีป่าเขาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่รักความสงบสวยงามของธรรมชาติอีกด้วย
แต่ที่น่าสนใจ พื้นที่จังหวัดประจวบฯ กลับถูกกำหนดให้เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนเขต 3 สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุดจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI
โดยเฉพาะอำเภอบางสะพาน เดิมทีก่อนปี พ.ศ.2530 มีเพียง 6 ตำบล แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใดจึงมีการแยกตำบลกำเนิดนพคุณ ที่มีพื้นที่เดิมประมาณ 104 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่ามีพื้นที่น้อยกว่าตำบลอื่นๆ อีกหลายตำบล แต่ได้ประกาศแยกหมู่ 1 ถึงหมู่ 6 ออกมาเป็นตำบลรำพึง เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2530 มีพื้นที่ 36.08 ตารางกิโลเมตร (หรือ 22,550 ไร่) และมีการประกาศผังเมืองให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม (พื้นที่สีม่วง) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เกือบทั้งตำบล
ทั้ง ๆ ที่พื้นที่จริงเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เป็นวนอุทยาน เป็นพื้นที่ชุมชนอยู่อาศัย แหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เกษตร และประมง แสดงให้เห็นถึงว่ามีการกำหนดทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าโดยประชาชนในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น และไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับกลุ่มทุนกลุ่มนี้เข้ามามีบทบาทในพื้นที่คือประมาณปี พ.ศ. 2528-2529 โดยมีการรวบรวมที่ดินอย่างแยบยล
กล่าวคือ ตั้งเป็นบริษัททางการเกษตร ชื่อบริษัทบางสะพานการเกษตร จำกัด ในการซื้อที่ดิน และเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านไม่เท่าทันข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งกลุ่มทุนมองประโยชน์จากพื้นที่ไปในทิศทางเดียวในการลงทุน คือให้ประโยชน์สูง ลงทุนต่ำ ไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของพื้นที่ และวิถีชีวิตชุมชนอย่างละเอียดแท้จริง
และที่ดินส่วนหนึ่งก็ได้มาโดยไม่ถูกต้องโปร่งใสทับที่สาธารณะ เป็นป่าชายเลน เป็นทางน้ำในสมัยนั้นก็ได้ถูกตรวจสอบจากภาครัฐมีปัญหากว่า 50 แปลง จำนวนประมาณ 900 ไร่ แต่ปัจจุบันมีหลักฐานการเช่าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพียง 350 ไร่ (จากเดิมอ้างมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง) ค่าเช่าประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี ที่เหลือยังไม่ทราบที่มาที่ไป
แต่ส่งผลกระทบต่อชาวบางสะพานเรื่องน้ำท่วมซ้ำซากตลอดมาปีละหลายครั้งเสียหายกว่า 100 ล้านบาทต่อปี คำถามคือ คุ้มกันหรือไม่ ใครรับผิดชอบ โดยเฉพาะนักการเมืองท้องถิ่น และข้าราชการ ต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันเสพผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน
นับวันชาวบ้านในตำบลแม่รำพึงต่างแตกแยก ฆ่าฟัน แย่งชิงผลประโยชน์กันเห็น ๆ ไม่เว้นญาติพี่น้องที่ต้องขัดแย้งกันหนักขึ้นทุกวัน...หากแต่ว่าโครงการที่ไม่โปร่งใสนี้เกิดขึ้นได้ เท่ากับว่าเม็ดเงินจะเสริมพลังให้กับผู้มีอิทพลในพื้นที่ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ต่อยอดอันธพาลปลายแถวให้เติบโตมาสร้างความเดือดร้อนให้เมืองบางสะพานไม่สามารถสงบสุขอีกต่อไปในอนาคต และชาวบ้านก็จะไม่สามารถปกปักรักษาทรัพยากรของท้องถิ่นได้อีกต่อไป
***กลยุทธ์หลอกล่อของกลุ่มทุน
ในอดีตชาวบ้านในอำเภอบางสะพาน เคยคัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็กมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 เคยมีป้ายขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ที่กลางตลาดสดตัวอำเภอบางสะพานว่า “ ชาวบางสะพานไม่ต้องการโรงถลุงเหล็ก ” และในสมัยนั้นทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกลุ่มทุนเองก็เคยรับปากชาวบางสะพานว่าไม่สร้างโรงถลุงเหล็ก จึงทำเอกสารชี้แจงว่าไม่ใช้โรงถลุงเหล็กแต่เป็นโรงรีดเหล็ก 3 โครงการ ที่ไม่มีมลพิษใด ๆ และเอกสารดังกล่าวชาวบ้านยังเก็บไว้เป็นหลักฐานจนถึงทุกวันนี้
แต่มาถึงวันนี้เพียงสิบกว่าปี โรงถลุงเหล็กมลพิษสูงก็ถูกหยิบยื่นให้คนบางสะพานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชาวบ้านไม่ได้ด้อยข้อมูลข่าวสารอย่างเช่นอดีตอีกต่อไป ที่จะใช้วิธีเดิม ๆ และที่สำคัญชาวบ้านมีบทเรียนจากโครงการเก่ามาพอสมควร
เช่น อ้างความเจริญ กระจายรายได้ แท้ที่จริงความเจริญไม่ได้ทำให้คนบางสะพานได้ดีแต่อย่างใด ผลประโยชน์ต่าง ๆ ถูกแย่งชิงจากพรรคพวกผู้มีอิทธิพลเครือข่ายของกลุ่มทุนเองเท่านั้น ชาวบ้านแท้ ๆ ได้แต่เป็นลูกจ้างทั่วไปพอประทังชีวิต แต่ต้องรับภาระจ่ายแพงกับข้าวของที่ดีดราคาขึ้นตามความเจริญ ทรัพยากรเดิมก็เสื่อมโทรมลงจะกลับไปทำอย่างเดิมก็ไม่ได้ ต้องซื้อน้ำดื่มเพราะชาวบ้านขาดความเชื่อมั่นน้ำฝนในบริเวณรอบโครงการเกือบทั้งอำเภอ
แต่กลุ่มทุนพยายามออกมาบอกสังคมว่าน้ำฝนสะอาดดื่มได้ ชาวบ้านอุปทานไปเอง อยากถามว่าใครเป็นต้นเหตุอุปทาน แล้วจะแก้อย่างไรให้กลับเป็นอย่างเก่า ที่แน่ ๆ กระทบไปแล้วทุกครัวเรือน ยังไม่รวมผลกระทบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพประมงชายฝั่ง หรือทางสังคมอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่สำคัญกลุ่มทุนเองบอกกับสังคมมาโดยตลอดว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เพียงสิบกว่าปีมาวันนี้บอกว่าถ้าไม่มีโรงถลุงเหล็ก โครงการเก่าไม่สามารถอยู่ได้ แล้วจะยั่งยืนได้อย่างไร และหากว่าในอนาคตถ้าโครงการโรงถลุงเกิดขึ้นได้ มลภาวะทำลายสิ่งแวดล้อมไปแล้ว ทำลายอาชีพเกษตร ประมงไปแล้ว บอกว่าไม่มีแร่เหล็กจำเป็นต้องปิดโรงถลุงเพื่อลดภาระประเทศชาติขึ้นมาอีก จะให้ชาวบ้านไปทำมาหากินอะไรกัน คนบางสะพานเกือบแสนคน โครงการรับคนงานไม่เกิน 4,000 คนเทียบกันไม่ได้เลย...
***ความรุนแรง เริ่มที่ใคร ??
ใครเริ่มเหตุความรุนแรง สังคมภายนอกมองเหมือนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น มาจากชาวบ้านสองกลุ่ม ที่มีความคิดต่างกัน แต่หากสัมผัสลงลึกจริง ๆ แล้วมีรายละเอียดเบื้องหลังมากกว่าที่คิด
กลุ่มชาวบ้านคัดค้านโครงการส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านรอบโครงการจาก 4 ตำบล คือ ตำบลแม่รำพึง (หมู่ที่ 1 บ้านดอนสำราญ, หมู่ที่ 2 บ้านท่ามะนาว, หมู่ที่ 5 บ้านปากคลอง, หมู่ที่ 7 บ้านทุ่งลานควาย) ตำบลธงชัย บ้านกรูด ตำบลกำเนิด หมู่ที่2 บ้านนาผักขวง และตำบลพงศ์ประศาสน์ โดยมีเหตุผลการคัดค้านด้านทรัพยากรท้องถิ่น ป่าพรุ และวนอุทยานแม่รำพึง ที่เกี่ยวพันกับทรัพยากรชายฝั่ง วิถีชีวิตและอาชีพประมงที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญ และด้านมลพิษ
โครงการที่มีมลพิษสูงตั้งอยู่กลางชุมชนหลายหมู่บ้านห่างเพียง 100 เมตร ใกล้ทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ดีแห่งหนึ่งของประเทศ
ด้วยการเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญยื่นหนังสือต่อหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย และมีการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 1 ปี ส่งผลให้มีการเพิกถอนที่ดิน และจะมีการประกาศยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำให้มีความสำคัญระดับชาติ
การคัดค้านที่ผ่านมาต่อโครงการขนาดใหญ่ของกลุ่มทุน แน่นอนว่าต้องไปขัดขวางผลประโยชน์ก้อนมหาศาลของคนบางกลุ่มในพื้นที่ เช่น เบื้องต้นธุรกิจปรับพื้นที่ถมดินของนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มอิทธิพลในบางสะพาน ที่มีบรรดาลูกน้องอันธพาลอยู่ในเครือข่ายเป็นไม้เป็นมือให้ เสนอตัวเข้าจัดการกับกลุ่มคัดค้านโดยมีข้อเสนอเป็นงบประมาณลับๆ ส่งผ่านโครงการบริจาคสร้างภาพต่าง ๆ ในสังคมบางสะพานเป็นสิ่งจูงใจ
และผลประโยชน์ที่จะแบ่งให้คือโควต้าในการถมดินที่มีเม็ดเงินมหาศาลเช่นกัน จึงมีการจัดตั้งกลุ่มสนับสนุนโครงการขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือเหยื่อของกลุ่มทุนที่เรียกว่าการพัฒนา ถึงจะมีการออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ข้องเกี่ยว แต่ความจริงก็คือ นับวันกลุ่มทุนที่ชุมชนถือว่าเป็นบุคคนภายนอกที่จะเข้ามาทำผลประโยชน์ในชุมชนไม่มีความจริงใจ ไม่มีธรรมมาภิบาลจริง ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายด้วยทุนที่เหนือกว่า
อีกข้อสังเกตที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้น น่าจะมาจากขบวนการแทรกซึมเอื้อเฟื้อของกลุ่มทุ่นที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นบางสะพาน ซึ่งมีตั้งแต่ผลประโยชน์ การบริจาค จนตัวแทนกลุ่มทุนหลายคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน เป็นที่มาของคำสัญญารับประกันกับกลุ่มสนับสนุนว่า “ไม่มีปัญหาเคลียร์ได้” จนมั่นใจที่จะกระทำอะไร ที่ไหนก็ได้ไม่เกรงกลัวใคร สามารถถืออาวุธในสถานที่ราชการต่อหน้าเจ้าหน้าที่ได้
ข้อสังเกตกลุ่มชาวบ้านคัดค้านด้วยเหตุด้วยผลเกือบสองปีไม่มีความรุนแรงใด ๆ แต่กลุ่มที่อ้างสนับสนุนเกิดขึ้นมาไม่ถึง 3 เดือนประทุความรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีกำลังที่ต่างกันมาก กลุ่มคัดค้านเป็นชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและสูงอายุ แต่กลุ่มสนับสนุน มีแต่ชายฉกรรจ์และวัยรุ่นพร้อมอาวุธทุกครั้งที่ออกมาเคลื่อนไหว
ปัญหาจนถึงวันนี้ ชาวบ้านพอสรุปได้ว่า กลุ่มทุนไม่เคยยอมรับว่าตนผิดแม้แต่เรื่องเดียว ในเรื่องที่ชาวบ้านชี้ให้เห็นสิ่งที่ผิด กลุ่มทุนไม่เคยชี้แจงหรือยอมรับ แต่กลับไปสร้างกลุ่มสนับสนุนตนว่าไม่ผิด ถือเป็นการสร้างความแตกแยก เอารัดเอาเปรียบประชาชนที่ด้อยกว่าทุก ๆ ด้านอย่างไม่มีคุณธรรมตลอดมา
...............................................
ธรรมาภิบาล “สหวิริยา”
หมายเหตุผู้จัดการออนไลน์ - แม้ว่า “เสม็ดขาว” แห่งกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง จะกล่าวหาเครือสหวิริยาถึงความไม่มีธรรมาภิบาล และเล่ห์เหลี่ยมในการทำธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีพิสูจน์ได้จากหลักฐานข้อเท็จจริง เช่น เอกสารสิทธิ์ที่ถูกเพิกถอนไปแล้วบางแปลงก็ตาม แต่สำหรับเครือสหวิริยา เจ้าของโครงการโรงเหล็กและโรงถลุงเหล็ก ได้ประกาศถึงหลักจริยธรรมธรรมในการประกอบธุรกิจเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านเว็บไซต์ของสหวิริยาอินดัสตรี (เอสเอสไอ) เอาไว้อย่างสวยหรู ดังนี้
“เพื่อสร้างดุลยภาพของการเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เอสเอสไอมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส ความซื่อสัตย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยปฏิบัติต่อบุคคลทุกกลุ่มด้วยความเป็นธรรมดังนี้
1. ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน บริษัทพึงดำเนินกิจการให้มีผลประกอบการที่ดี เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม 2. ลูกค้า บริษัทพึงผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานตรงตามความต้องการของลูกค้า ด้วยราคาที่เป็นธรรม3. คู่ค้าและเจ้าหนี้ บริษัทพึงดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความเกื้อหนุนที่เป็นธรรม
4. คู่แข่ง บริษัทพึงดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการแข่งขันที่ยุติธรรม
5. พนักงาน บริษัทพึงดูแลพนักงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีสภาพการจ้างที่สามารถแข่งขันกับตลาดแรงงาน มีสวัสดิการที่เหมาะสม มีโอกาสที่จะพัฒนาความก้าวหน้า รวมทั้งมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย
6. รัฐบาล บริษัทพึงดำเนินธุรกิจเพื่อการเสริมสร้างและพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมาย และเป็นไปตามครรลองประเพณีธุรกิจทั่วไป
7. ชุมชนและสังคม บริษัทพึงดำเนินธุรกิจโดยมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ เอสเอสไอจะดูแลความสมดุลของผลประโยชน์ ให้เกิดแก่บุคคลทุกกลุ่มด้วยความเสมอภาคตลอดไป
.......................................
ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรง วันที่ 24 มกราคม 2551
เรื่องเดิมชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงและชาวบ้านบางสะพาน คือ 1) การคัดค้านโครงการโรงถลุงเหล็กกว่า1 ปี โดยเหตุผลเอกสารสิทธิ์ที่ดินทับพื้นที่ชุ่มน้ำป่าพรุแม่รำพึง และโครงการมีมลพิษสูงอยู่กลางชุมชนจะกระทบทรัพยากรชายฝั่ง และอ่าวบางสะพานรุนแรง (กระบวนการศึกษาและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ ยังไม่ผ่าน)
2) การออกใบอนุญาตถมดิน จำนวน 1,142 ไร่ ของ อบต.แม่รำพึง ที่ออกไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2550 ชาวบ้านโดยรอบโครงการที่จะได้รับผลกระทบในตำบลแม่รำพึง ตำบลธงชัย และตำบลกำเนิด ร่วมกันคัดค้าน จนยกเลิกไปเมื่อ วันที่ 21 พ.ย. 2550 และทาง อบต.พยามใช้เหตุผลว่าถูกบังคับและจะกลับไปใช้ฉบับเดิมคืออนุญาตให้ถมดินได้
3) วันที่ 19 มกราคม 2551 ทางบริษัท เริ่มขุดคลองระบายน้ำโดยการปักแนวเขต อ้างว่าแก้ความกังวลเรื่องน้ำท่วมหากมีการถมดินโครงการ แท้จริงเป็นลำรางระบายน้ำของโครงการเองไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมบางสะพาน และที่สำคัญทับเส้นทางสาธารณะ และปลายลำรางระบายน้ำทิ้งลงสู่ป่าพรุ และวนอุทยานแม่รำพึงที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงร่วมกับชาวบ้านยื่นหนังสือคัดค้านให้นายอำเภอบางสะพาน และลงพื้นที่ตรวจสอบ และนายอำเภอจึงทำหนังสือให้ทาง อบต.แม่รำพึงตรวจสอบ เร่งด่วนต่อไป
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 ทางบริษัทบางปะกงการโยธา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ นำรถขุดดิน และรถแทรคเตอร์เฟืองลอยลงพื้นที่ ขุดคลองระบายน้ำ กลุ่มชาวบ้านได้เข้าพื้นที่ให้หยุดการขุดและสังเกตเห็นกลุ่มวัยรุ่นคุ้มกันมีอาวุธ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น ยึดมีดได้ เกือบ 30 เล่ม
วันที่ 22 มกราคม 2551 มีการเคลื่อนไหวนำกำลังเพิ่มเติมในพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง และได้ทราบข่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะระดมกำลังกันในวันถัดไป
วันที่ 23 มกราคม 2551 เครื่องจักรชุดเดิมลงพื้นที่ทำงานขุด ตั้งแต่เวลา 08.30 น.โดยมีกลุ่มวัยรุ่นและชายฉกรรจ์จำนวนมากกว่า 150 คน เฝ้าระวังในพื้นที่ ให้เครื่องจักรทำงาน ขณะเดียวกันทางกลุ่มอนุรักษ์ก็ได้แจ้งข่าวให้ชาวบ้านทราบและรวมตัวกันกว่า 200 คน เตรียมเข้าพื้นที่ แต่ปรากฏว่ามีการวางตะปูเรือใบในเส้นทางจำนวนมาก ชาวบ้านทั้งหมดจึงเดินเท้าเข้าพื้นที่
ระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ นปพ.กว่า 20 นาย ได้เดินทางมาถึงและดูแลความปลอดภัยให้ ในขณะที่เดินทางก็ได้มีกลุ่มอันธพาลเข้าทำร้ายโดยใช้ขวดเบียร์ หนังสติ๊ก ลูกเหล็กที่ทำจากเหล็กเส้นข้ออ้อยตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 1 ซ.ม.ยิงใส่จำนวนมาก กลุ่มชาวบ้านบางส่วนก็ได้ตอบโต้ป้องกันตัวด้วยเช่นกัน จนเดินทางผ่านไปได้หนึ่งจุด
และระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อไปยังนายอำเภอ ตำรวจ ให้เข้าตรวจค้นอาวุธ เนื่องจากชาวบ้านได้เห็นกลุ่มดังกล่าวมีอาวุธปืนจำนวนมาก แต่ไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากทุกฝ่าย จนเวลาประมาณ 10.00 น.ทางแกนนำก็ได้ติดต่อไปยังสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน 3 ครั้ง ออกอากาศสดร้องขอให้ผู้มีอำนาจสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแต่ก็ไม่มี
จนเวลาประมาณ13.30 น. ก็ได้มีเสียงปืนดังหลายนัดติดต่อกัน และทราบว่ามีคนเสียชีวิต 2 คน แต่ภายหลังข่าวบอกว่า 1 คน และทางกลุ่มชาวบ้านได้เดินทางกลับศาลาหมู่บ้าน โดยให้เจ้าหน้าที่ ประกบไปเพื่อความปลอดภัย และตรวจค้นอาวุธทุกคนก่อนเข้าศาลา เวลาประมาณ 15.20 น.
แต่ต่อมา กลับเป็นว่ากลุ่มชาวบ้านเป็นผู้กระทำ และออกหมายจับผู้ที่เป็นญาติผู้คัดค้านโดยยังไม่มีหลักฐานใด ๆ...ที่สำคัญจุดเกิดเหตุบุคคลที่กลุ่มทุนบอกว่าเป็นลูกจ้างบริษัท แต่พฤติกรรมพยายามบุกเข้ามาในที่ชาวบ้านตลอดเวลา จุดเกิดเหตุทั้งสองจุดก็เป็นที่ดินสวนมะพร้าวของชาวบ้านทั้งสิ้น และที่สำคัญงานขุดคลองที่ใช้เครื่องมือหนักเช่น รถตักดิน และรถแทรคเตอร์ การอ้างว่าเป็นพนักงานเก็บเศษไม้ ไม่น่าจะสมเหตุสมผล
เรื่องราวข้างต้น เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากฟากฝั่งกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ขณะที่ข้อเท็จจริงทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวนสอบสวน ซึ่งอันที่จริงแล้ว กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่ กระทั่งมีการนำผู้ต้องหามามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแทน
การติดต่อพยามแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจอาวุธ จาก FM.98.0 Mhz ร่วมด่วยช่วยกัน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ... ลำดับเหตุการณ์ปะทะที่ อ.บางสะพาน 24/01/2551
13.00 น. ได้รับแจ้งจากคุณสุพจน์ ส่งเสียง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงว่า เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง กับกลุ่มเครือสหวิริยา ที่บริเวณพื้นที่ป่าพรุ อ.บางสะพาน ที่กำลังจะได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งชาติ
13.30 น. คุณสุพจน์เข้าสายในรายการเล่าถึงความเป็นมา และเหตุที่เคยมีการปะทะกัน และวันนี้เมื่อช่วงเช้าก็เกิดการปะทะกันไปครั้งหนึ่งแล้ว และทำให้มีชาวบ้านหลายคนได้รับบาดเจ็บโดยทราบว่าทางฝ่ายเครือสหวิริยามีการนำกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 50-60 คน พร้อมอาวุธมีดประมาณ 30 กว่าเล่ม อาวุธปืน 4 กระบอก และแกนนำเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มผู้รับเหมามาด้วยฯหลังจากวางสายจากคุณสุพจน์แล้ว ทางทีมงานได้ประสานไปยังนายอำเภอบางสะพาน
14.00 น. นายธวัชชัย ดิษยนันท์ นายอำเภอบางสะพาน ได้แจ้งกับทางทีมงานว่าขณะนี้กำลังอยู่ในที่เกิดเหตุ และพยายามที่จะหาวิธีไกล่เกลี่ยให้ดีที่สุด ที่จะไม่ให้แต่ละฝ่ายได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นทีมงานฯ ได้ขอให้นายอำเภอเข้าสายในรายการ แต่ได้รับคำตอบว่าต้องขอเข้าไปปรึกษาที่จังหวัดก่อน ขอเวลาอีกสักพัก (ใหญ่)
หลังจากทางทีมงานได้ประสานไปยัง ผกก.สภ.บางสะพาน - พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง (โทร.ไม่ติด แต่ทราบภายหลังว่าท่านอยู่ในที่เกิดเหตุ) หลังจากนั้นทีมงานฯ ได้ติดต่อไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด - พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร แจ้งว่าขณะนี้ท่านอยู่นอกพื้นที่ที่ จ.นครปฐม แต่ตอนนี้ มี พ.ต.อ.ทิวา บุญดำเนิน รองผู้การฯอยู่ที่พื้นที่ ให้ประสานไปยัง พ.ต.อ.ทิวา บุญดำเนินได้เลย ทีมงานได้ประสานไปยัง พ.ต.อ.ทิวา บุญดำเนิน ได้รับแจ้งจาก พ.ต.อ.ทิวา บุญดำเนิน ว่ากำลังประชุมอยู่ที่จังหวัด และท่านก็ได้วางสายไป
ทีมงานประสานไปยัง นายประสงค์ พิทูรกิจจา ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ได้รับแจ้งจาก นายประสงค์ พิทูรกิจจา ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้อยู่ที่ทางใต้
ทางทีมงานได้สอบถามท่านผู้ว่าฯ ว่าจะสามารถสั่งการเพื่อระงับเหตุดังกล่าวก่อนได้หรือไม่
ก็ได้รับคำตอบจากท่านผู้ว่าฯ ว่า ถ้าจะให้สั่งก็สั่งได้ แต่จะทำกันหรือเปล่าไม่รู้
เมื่อเวลาประมาณ 14.10 น. ได้รับแจ้งจากนายสุพจน์ว่าขณะนี้เกิดเหตุมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และมีคนของเครือสหวิริยา ใช้หนังสติ๊กยิง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
14.30 น. ได้รับแจ้งจากนางสาวประนารี บุญญศิริ ประชาสัมพันธ์บริษัทสหวิริยา แจ้งว่า ตนอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะนี้มีความเป็นห่วงชาวบ้านและพนักงาน เพราะว่ามีคนบาดเจ็บหลายคน และเท่าที่ทราบคือมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน ต่อมา นายบงการ ลิมปพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินทางไปในที่เกิดเหตุ