ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ศูนย์ PIPO ภูเก็ต แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเหตุสงสัยฝ่าฝืน พ.ร.ก.การประมง พร้อมสั่งกักเรือจนกว่าการสอบสวนจะสิ้นสุด ด้านศร .ชล เขต 3 สั่งเรือลาดตระเวนตรวจสอบหาฉลามวาฬตัวที่ถูกจับขึ้นเรือยันไม่สามารถระบุได้ว่ายังมีชีวิตหรือไม่ ขณะที่ไต๋เรือ อ้างติดอวนขึ้นเรือโดยไม่รู้ว่าเป็นฉลามวาฬ แต่รีบปล่อยกลับทะเลทันที ขณะที่อธิบดีสั่งแจ้งความเพิ่มไต๋เรือ ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตสั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึก
เมื่อเวลา 9.30 น.วันนี้ ( 19 พ.ค.) ที่ศูนย์ PIPO พลเรือเอกพิเชษ ตานะเสรษฐ เสนาธิการทหารเรือ พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี มีการนำเสนอคลิปวีดีโอในสื่อออนไลน์ และ โซเชียลมีเดีย มีการนำฉลามวาฬขึ้นบนเรือประมง โดยเหตุเกิดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวานที่ผ่านมา ( 18 พ.ค.) โดยมี น.อ.ภุชงค์ รอดนิกร หัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผน ศร ชล.เขต 3 เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO เจ้าหน้าที่จากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต และ เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชี้แจ้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
โดยเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO ภูเก็ต แจ้งว่า หลังมีการแชร์ภาพและคลิปการนำฉลามวาฬขึ้นมาบนเรือทางศูนย์ได้ตรวจสอบเรือดังกล่าวแล้ว พบว่าเป็นเรือประมงอวนลาก ชื่อเรือ แสงสมุทร 3 มีนายสมสมัย มีจอม เป็นผู้ควบคุมเรือ มีลูกเรืออยู่บนเรือจำนวน 13 คน จากการตรวจสอบโดยชุด สหวิชาชีพของศูนย์พบว่าเรือแจ้งออกจากท่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.และ ได้แจ้งเข้าไว้ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ แต่เรือได้ขอแจ้งเข้าในเวลา 22 .00 น. วันที่ 18 พ.ค. เพื่อขึ้นสัตว์น้ำ ซึ่งผลการตรวจสอบของสหวิชาชีพไม่พบการกระทำผิด
ส่วนกรณีสัตว์น้ำที่ปรากฏในคลิปนั้น เป็นฉลามวาฬที่ติดอวนขึ้นมาจริง แต่ทางไต๋เรือแจ้งว่าได้ปล่อยลงทะเลไปแล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ทางชุดสหวิชาชีพพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการกระทำอันเป็นเหตุน่าสงสัยว่าเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 มาตรา 66 ประกอบการเกษตร เรื่องการกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำหายาก หรือ ใกล้สูญพันธุ์ที่ห้ามจับ หรือนำขึ้นเรือประมง พ.ศ.2559 ข้อ 2 อนุ 4 ปลาฉลามวาฬ
โดยขณะนี้ จ่าเอกสุชาติ เพชรสวน หัวหน้าชุดตรวจสหวิชาชีพ ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 พ.ค.61 เวลา 02.00 น. แล้ว ส่วนเรือแสงสมุทร 3 และเรือแสงสมุทร 2 รวมทั้งสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง ได้สั่งกักเรือไว้แล้วเนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยขณะนี้ได้มีการโอนคดีไปยังสถานีตำรวจภูธรฉลองแล้วเนื่องจากเหตุเกิดในพื้นที่ความรับผิดชอบของ สภ.ฉลอง
ยันไม่มีลูก แท่งสีขาวที่เห็นเป็นเพียงทุ่นของอวน
ส่วนกรณีมีการแชร์ว่าฉลามวาฬตัวดังกล่าวมีลูกหลุดออกมาจากช่องคลอด เจ้าหน้าที่จากศูนย์ PIPO ชี้แจงว่า จากการสอบถามไต๋เรือ ระบุว่าก้อนสีขาวๆ ที่เห็นอยู่บริเวณส่วนท้องของฉลามนั้นเป็นทุ่นผูกอวนไม่ใช่ลูกฉลามแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่บอกว่าพยายามแล่นเรือหนี จากการสอบถามก็ทราบว่าไม่มีการแล่นเรือหนีแต่อย่างใด แต่จำเป็นต้องแล่นเรือเพื่อไม่ให้เรือทรงตัวอยู่ได้ในขณะที่เอียงเรือเพื่อปล่อยฉลามกลับลงทะเล แต่ถ้าปล่อยเลยโดยไม่มีการดึงเชือกไว้อาจจะทำให้ฉลามติดอยู่ที่กราบเรือซึ่งจะทำให้เรือเอียงได้
ศร.ชล. จัดเรือลาดตระเวนหาตัวหลังถูกปล่อยกลับทะเล ยังไม่ชี้ตายหรือไม่
ขณะที่ น.อ.ภุชงค์ รอดนิกร หัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผน ศรชล.เขต 3 กล่าวว่า สำหรับในส่วนของฉลามวาฬตัวดังกล่าว จากการสอบถามไต๋เรือ ทราบว่า มีการปล่อยลงทะเลและว่ายน้ำหายไปหลังจากที่มีการปล่อย แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏตัวปลาให้เห็น ซึ่งได้มีการขอความร่วมมือในส่วนของ ศร.ชล.เขต 3 ทุกหน่วยงานให้ช่วยกันตรวจสอบ รวมทั้งประสานไปยังเรือท่องเที่ยว เรือประมง รวมทั้งมีการจัดเรือลาดตระเวน เพื่อตรวจสอบหาฉลามวาฬตัวดังกล่าวแล้ว เพราะถ้าฉลามวาฬเสียชีวิตจะต้องมีซากลอยขึ้นมาซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 6 - 7 วัน
นอ.ภุชงค์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีคดีแบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ได้มีการเฝ้าระวังและติดตามมาตลอด เพราะเกรงว่าจะมีการจับและการขายเกิดขึ้น จึงให้เรือที่ลาดตระเวนตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา สำหรับเรือลำที่เกิดเหตุจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าทำการประมงอยู่ในเขตที่กำหนด ส่วนจะมีเจตนาในการจับฉลามหรือไม่ ต้องให้ทางพนักงานสอบสวนดำเนินการ ซึ่งทางไต๋เรือเองอ้างว่าฉลามติดอวนมาและได้ปล่อยกลับลงทะเลแล้ว
ส่วนกรณีที่มีการผู้เชือกที่หางนั้นจากการสอบถามก็แจ้ง ว่าผูกเพื่อใช้เครนยกปลาปล่อยลงทะเล เพราะปลาตัวใหญ่ไม่สามารถใช้แรงคนยกได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 14.00น. ของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยจุดที่ลากอวนขึ้นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะราชา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ขณะที่ตัวแทนจากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูล เรือดังกล่าวออกไปจับปลาตั้งแต่วันที่ 11 - 18 พ.ค. ปลาที่จับได้ส่วนใหญ่เป็นปลาเป็ด โดยจับปลาได้ประมาณ 20,000 กิโลกรัม และ จากการตรวจสอบไม่พบชิ้นส่วนของฉลามวาฬอยู่บนเรือแต่อย่างใด เครื่องมือจับปลาก็ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
ไต๋เรือยันไม่รู้เป็นฉลามวาฬ แค่ 10 นาทีปล่อยกลับลงทะเล
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นทางคณะได้เดินทางต่อไปยังท่าเทียบเรือ ซึ่งเป็นจุดที่กักเรือลำดังกล่าวไว้ ซึ่งได้มีการสอบถามในส่วนของไต๋เรือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนาย สมสมัย มีจอม ไต๋เรือ กล่าวว่า ครั้งแรกไม่ทราบว่ามีฉลามติดมากับอวนที่ลูกเรือดึงขึ้นมา แต่รู้สึกว่าน้ำหนักมากตอนแรกคิดว่าเป็นท่อนไม้ก็ดึงอวนขึ้นมาบนเรือ แต่เมื่อเห็นเป็นปลาฉลามก็รู้สึกตกใจ จึงเร่งให้ลูกเรือเร่งปล่อยกลับลงทะเลโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้เชือกผูกหางก็เพื่อใช้เครนช่วยยก เพราะฉลามตัวใหญ่คนมีน้อยไม่สามารถเอาลงทะเลได้ ซึ่งเรือตนได้ดึงอวนขึ้นมาในช่วงเวลาประมาณ บ่ายสามโมงเกือบบ่าย 4 โมง จำเวลาไม่ได้แน่นอน แต่ก็เร่งปล่อยกลับโดยเร็วที่สุด และยืนยันว่าฉลามไม่ตายแต่อย่างใด
ด้าน พล.ร.อ.พิเชฐ ตานะเศรษฐ เสนาธิการทหารเรือ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า ตนได้รับข้อสั่งการจากพล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ซึ่งมีความเป็นห่วงต่อกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงสั่งการให้ ลงพื้นที่มาติดตามข้อเท็จจริง
เบื้องต้นจากการพูดคุยกับไต๋เรือ ซึ่งเล่าว่า ปลาตัวดังกล่าวติดอวนขึ้นมา โดยมีขนาดความยาวประมาณ 2 เมตร เมื่อเห็นเป็นฉลามวาฬจึงพยายามนำกลับลงสู่ทะโดยใช้ต้องใช้เครนยกเพราะมีน้ำหนัก โดยใช้เวลากว่า 10 นาที จึงสามารถปล่อยกลับทะเลได้ โดยปลาไม่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่มีการระบุว่า เห็นมีลูกปลาหลุดจากตัวนั้นในส่วนของทางไต๋กและลูกเรือไม่เห็นแต่อย่างใด
ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายนั้นหลังตรวจสอบเรือและสอบปากคำลูกเรือก็ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี และอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงของพนักงานสอบสวนตามขั้นตอน ทั้งนี้ต้องดูทั้งเรื่องเจตนาและพฤติกรรมอย่างอื่นร่วม รวมถึงประวัติในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องให้เกิดความเป็นธรรม
โดยขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา หากพบกระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการตามข้อกฎหมายที่กำหนด ซึ่งจากที่ตรวจสอบเป็นโทษปรับขั้นต่ำที่ 3 แสนบาทไป ถึง 3 ล้านบาท หรือประมาณ 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำ ในส่วนของเรือประมงในจังหวัดภูเก็ตที่ผ่านมาทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการอบรมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลต้องห้ามอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็จะได้มีการดำเนินการเพิ่มเติม
กรมทรัพยากรทางทะเลฯแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มไต๋เรือ
นอกจากนั้นเมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ ( 19 พ.ค.61) นายนเรศ ชูผึ้ง ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 (สบทช.9) ได้รับข้อสั่งการจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และนายวัชรินทร์ ถิ่นถลาง ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง
ทั้งนี้ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติม กับนาย สมสมัย มีจอม อายุ 55 ปี ชาว จ.ยโสธร ไต๋ก๋งเรือ แสงสมุทร 3 และนายรัตนา พรหมงาน ผู้ควบคุมเรือ แสงสมุทร 2 ในข้อกล่าวหา ร่วมกันล่าหรือ พยายามล่าสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดล่า หรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่เป็นการกระทำโดยทางราชการ โดยเป็นการแจ้งความเพิ่มเติมจากที่ชุดสหวิชาชีพ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง เขต 3 (ภูเก็ต) หรือ PIPO ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้
ผู้ว่าฯภูเก็ต สั่ง ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกการนำฉลามวาฬขึ้นเรือ
ด้านนายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวกรณีที่มีเรือประมงประเภทอวนลากชื่อแสงสมุทร 3 นำปลาฉลามวาฬขนาดใหญ่ขึ้นบนเรือ โดยมีผู้พบเห็นขณะลอยลำอยู่บริเวณเกาะราชากับเกาะเฮอำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ตเมื่อบ่ายวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ ควบคุมการแจ้งเข้า - ออก เรือประมง เขต 3 ภูเก็ต (PiPo)ได้แจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าของเรือดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตามในส่วนของปลาฉลามวาฬตัวดังกล่าว ล่าสุด ประมงจังหวัดภูเก็ต ยืนยันว่า ปลาฉลามวาฬยังมีชีวิตอยู่เพราะยังไม่มีประชาชนหรือนักท่องเที่ยวหรือชาวประมงในละแวกใกล้เคียงพบเห็นซากฉลามที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
ผวจ.ภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้กำชับให้ทางประมงจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเรือนักท่องเที่ยว และเรือประมง ระมัดระวังหากพบเห็นปลาฉลามวาฬขอให้อยู่ห่างๆอย่าเข้าไปสัมผัส เพราะมีประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เป็นข้อบังคับทางกฎหมายกำหนดความผิดชัดเจน การดำเนินคดีกับเจ้าของเรือดังกล่าว มีความผิดทางอาญา ส่วนเหตุการที่เกิดขึ้ขอให้ตรวจสอบเชิงลึกเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง