ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้บริหารโรงแรมดังในป่าตองแจ้งความเอาผิดทหารฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว พกอาวุธบุกเข้าควบคุมตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ส่วนอดีตพนักงานโดนฐานแจ้งความเท็จ เตรียมฟ้องเพิ่มเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน ยืนยันไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล แฉอดีตพนักงานตัวต้นเหตุ ถูกจับคดียาเสพติดที่ภูเก็ตแต่อ้างโดนกักตัวที่ปาดังเบซาร์ ขาดงาน 6 วันจึงถูกให้ออก
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (7 เม.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายวิศิษฐ์ เอี่ยววิโรจน์ฤทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัทป่าตอง พารากอน จำกัด พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความส่วนตัว และ ทีมทนายความ เข้าเข้าพบกับ พ.ต.ท.วัชรพงศ์ พรายพรรณ รองผู้กับการ (สอบสวน) สภ.ป่าตอง เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่รัฐ และอดีตพนักงานโรงแรม ใน 2 ข้อหา คือกักขังหน่วงเหนี่ยว และ แจ้งความเท็จ
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวก่อนที่จะเข้าแจ้งคามร้องทุกข์ ว่า หลังจากมีการโพสต์คลิป กรณีทหารเข้าไปในโรงแรมป่าตองพารากอน เมื่อวันที่ 27 ที่ผ่านมา จนมีการให้ข่าวและแถลงข่าวพาดพิงให้ลูกความของตนได้รับความเสียหาย ทางตนและลูกความจะแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคนทั้งคดีแพ่งและอาญาซึ่งขณะนี้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้แล้ว 80 % ซึ่งการแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้จะเรียกร้องค่าเสียหามากกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับการแจ้งความวันนี้ เป็นการแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทุกคน และอดีตพนักงานคนดังกล่าว ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง หลักฐานกล้องวงจรปิดชัดเจน ตนต้องการให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ขึ้นศาลทหาร เพราะไม่ไว้ใจ ส่วนกรณีที่อดีตพนักงานไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมฯ ก็จะมีการแจ้งความ ว่า เป็นการแจ้งความเป็นเท็จ ตามมาตรา 137 ที่ สภ.เมืองภูเก็ต และ จะไปแจ้งความที่ สภ.เชิงทะเล ตามมาตรา 172, 173, 174 วรรค 2 และ หากมีการตรวจสอบพบคำให้สัมภาษณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายก็จะแจ้งความคดีแพ่งต่อไป
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า ประเด็นของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อมีการปล่อยคลิปเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ซึ่งมีนายทหารและทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปในโรงแรม โดยคนที่เผยแพร่คลิปได้ระบุข้อความกล่าวหาว่ามีการรีดไถ ทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียสนใจ ทางกองทัพภาคที่ 4 และกองอำนวยการรักษา ความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในการแถลงข่าวบางช่วงบางตอนทำให้ลูกความตนได้รับความเสียหาย และลูกความตนไม่ได้มีเรื่องกับกองทัพแต่เป็นเพียงเฉพาะคนบางกลุ่ม เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ในส่วนของคลิปที่ออกมานั้นบางคลิปมีการพาดพิงถึงนายวิศิษฐ์ ซึ่งกำลังดูว่าเข้าข่ายทำผิดกฎหมายหมิ่นประมาทหรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ถ้าเข้าข่ายก็จะมีการแจ้งความเพิ่มเติม
ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ หลังจากเกิดเรื่องนั้น ตนพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะว่าเป็นจริงแล้วตำรวจสายตรวจทั้ง 2 นาย ไม่ได้เป็นผู้ติดตามลูกความของตน วันที่เกิดเหตุทางพนักงานโรงแรมโทรศัพท์ไปชวนให้ตำรวจทั้ง 2 คน ซึ่งออกเวรแล้วไปทานกาแฟที่โรงแรมเท่านั้น ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรม ตำรวจบางคนไม่รู้เรื่อง แต่ต้องถูกย้าย ตนจึงอยากช่วยเหลือในจุดนี้
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า โรงแรมป่าตองพารากอน มีความขัดแย้งกันทางธุรกิจ มีการฟ้องร้องกันอยู่ระหว่างผู้ถือหุ้น เป็นคดีอาญาและคดีแพ่ง อยู่ที่ศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ลงในรายละเอียด แต่จากการฟ้องร้องทำให้มีเรื่องเกิดขึ้นโดยเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ได้มีการติดต่อจากทหารหน่วยหนึ่งมาที่นายวิศิษฐ์ เพื่อเจรจารวมทั้งส่งทหารเข้ามา ซึ่งมีรายชื่อทั้งหมดแล้ว แต่ครั้งนั้นได้มีผู้ใหญ่มาช่วยเคลียร์จนจบ และ บอกว่าจะไม่ยุ่งแล้ว และ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาลตามปกติ
แต่ปัญหาภายในที่เกิดขึ้นยังไม่จบ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ รวมถึงอดีตพนักงานที่ถูกให้ออก ไม่ใช่พนักงานของลูกความตน โดยพนักงานดังกล่าว มีตำแหน่งรักษาการผู้ช่วยแผนกบุคคล แต่ให้ออกเนื่องจากขาดงานติดต่อ 6 วัน วันที่ 25-31 ธันวาคม 2560 ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 โดยอ้างว่า ถูกกักตัวอยู่ที่ด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ก่อนจะถูกส่งตัวมาไปยังโรงพยาบาล ม.อ.หาดใหญ่ จึงมาทำงานไม่ได้ และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงได้ จึงได้มีการบอกเลิกจ้างในวันที่ 5 มกราคม 2561 เนื่องจากขาดงานเกิน 3 วัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 119 (5) ซึ่งสามารถให้ออกได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
พร้อมทั้งได้ทำหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ตสอบถามเกี่ยวกับการไล่ออก ซึ่งได้คำตอบว่าได้ แต่หากมีการเจ็บป่วยจริงให้ไปต่อสู่ในศาล และมีสิทธิ์ห้ามมิให้เข้ามาในสถานประกอบการ หากฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุ อันควรหรือได้รับอนุญาต นายจ้างสามารถดำเนินการได้ตามสิทธิ์ของกฎหมาย
แต่ปรากฏว่าพนักงานคนดังกล่าวได้ไปหาหุ้นส่วนอีกคนและไม่ให้ออก ทำให้พนักงานยังมาทำงานอยู่ แต่ทางลูกความของตนได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ ในข้อหาบุกรุก ที่ สภ.ป่าตอง ส่วนพนักงานคนดังกล่าวได้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ว่า ถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกข่มขู่ ทางศูนย์ดำรงธรรมได้ส่งเรื่อง ทาง บก.ควบคุม พล.ร.5 ตรวจสอบ จากนั้นมีทหาร 9 นาย มาตรวจค้นที่โรงแรม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยไม่มีแจ้งหรือนัดหมายล่วงหน้า พร้อมอาวุธพกติดตัวตามคลิป และแจ้งว่าขอควบคุมตัวนายวิศิษฐ์โดยมีพนักงานคนดังกล่าวให้ความร่วมมือ ซึ่งมีภาพกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ทั้งหมด และยังเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม คือที่ส่วนบุคคล
ในการเข้ามานั้นได้มีการอ้างมาตรา 44 คำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 ข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานเรียกบุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงาน หากเป็นความผิดซึ่งหน้า ควบคุมตัวได้ทันที จึงตั้งคำถามว่า การที่นายวิศิษฐ์อยู่ในโรงแรม โดยไม่มีการแจ้ง และเข้ามาควบคุมตัว โดยใช้ข้อ 2(2) ไม่ใช่ความผิด ซึ่งทำได้หรือไม่ และยังไม่ได้ออกคำสั่งแม้แต่ฉบับเดียวแต่จู่โจมเข้ามา และ พกพาอาวุธปืนมาด้วย ในวันนั้นมีแขกโรงแรมจำนวนมาก และ ในคำสั่งดังกล่าวควบคุมตัวได้ไม่เกิน 7 วัน แต่นายวิศิษฐ์ไม่ยอม จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น และในมาตรา 9 เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องทำการโดยสุจริต ไม่กระทำโดยเกินกว่าเหตุหรือไม่
ส่วน คลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปทางลูกความของตนไม่เกี่ยว และ ไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่ ส่วนกรณีกล่าวหาว่านายวิศิษฐ์ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรม ว่า เป็นผู้มีอิทธิพลนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างมาก เพราะการให้พนักงานคนดังกล่าวออกนั้นได้ดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่เคยใช้อิทธิพลข่มขู่เลย และที่สำคัญเพิ่งมีหนังสือจาก บก.พล.ร.5 เรียกนายวิศิษฐ์ไปให้ข้อเท็จจริงว่ามีการร้องเรียนของประชาชนในจังหวัดภูเก็ต ให้ไปให้รายงานตัวที่หน่วยฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่โรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม อ.ถลาง ในวันที่ 11 เมษายน นี้ แต่ลูกความคงไม่ไป แต่จะไปร้องเรียนที่ คสช.ส่วนกลางแทน ถ้าจะไปก็ให้ย้ายทหารชุดนี้ออกไปก่อนเมื่อมีชุดใหม่เข้ามา ถึงจะไป
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไป นอกจากนั้นจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่าพนักงานคนดังกล่าวที่บอกว่า ถูกกักตัวที่ด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา นั้นไม่ได้เป็นความจริง แต่จากการตรวจสอบพบว่าพนักงานคนดังกล่าว ถูกจับกุมตัวในข้อหายาเสพติดมีไว้เพื่อจำหน่าย ที่ สภ.เมืองภูเก็ต ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน จึงอยากถามว่า ทางศูนย์ดำรงธรรมฯ และ ฝ่ายทหารไม่ทราบเลยหรือว่าพนักงานคนดังกล่าวถูกจับกุมในคดียาเสพติด ซึ่งในเรื่องนี้ต้องมีการชี้แจง เนื่องจากทางฝ่ายนายวิศิษฐ์เสียหายมาก และอยากให้รู้ว่าลูกความตนไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล และเราทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งพนักงานดังกล่าวให้การเท็จ ปกปิดความจริงเรื่องนี้ใครโกหกกันแน่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (7 เม.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายวิศิษฐ์ เอี่ยววิโรจน์ฤทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัทป่าตอง พารากอน จำกัด พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความส่วนตัว และ ทีมทนายความ เข้าเข้าพบกับ พ.ต.ท.วัชรพงศ์ พรายพรรณ รองผู้กับการ (สอบสวน) สภ.ป่าตอง เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่รัฐ และอดีตพนักงานโรงแรม ใน 2 ข้อหา คือกักขังหน่วงเหนี่ยว และ แจ้งความเท็จ
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวก่อนที่จะเข้าแจ้งคามร้องทุกข์ ว่า หลังจากมีการโพสต์คลิป กรณีทหารเข้าไปในโรงแรมป่าตองพารากอน เมื่อวันที่ 27 ที่ผ่านมา จนมีการให้ข่าวและแถลงข่าวพาดพิงให้ลูกความของตนได้รับความเสียหาย ทางตนและลูกความจะแจ้งความดำเนินคดีกับทุกคนทั้งคดีแพ่งและอาญาซึ่งขณะนี้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้แล้ว 80 % ซึ่งการแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้จะเรียกร้องค่าเสียหามากกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับการแจ้งความวันนี้ เป็นการแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทุกคน และอดีตพนักงานคนดังกล่าว ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง หลักฐานกล้องวงจรปิดชัดเจน ตนต้องการให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ขึ้นศาลทหาร เพราะไม่ไว้ใจ ส่วนกรณีที่อดีตพนักงานไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมฯ ก็จะมีการแจ้งความ ว่า เป็นการแจ้งความเป็นเท็จ ตามมาตรา 137 ที่ สภ.เมืองภูเก็ต และ จะไปแจ้งความที่ สภ.เชิงทะเล ตามมาตรา 172, 173, 174 วรรค 2 และ หากมีการตรวจสอบพบคำให้สัมภาษณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายก็จะแจ้งความคดีแพ่งต่อไป
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า ประเด็นของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อมีการปล่อยคลิปเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ซึ่งมีนายทหารและทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปในโรงแรม โดยคนที่เผยแพร่คลิปได้ระบุข้อความกล่าวหาว่ามีการรีดไถ ทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียสนใจ ทางกองทัพภาคที่ 4 และกองอำนวยการรักษา ความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในการแถลงข่าวบางช่วงบางตอนทำให้ลูกความตนได้รับความเสียหาย และลูกความตนไม่ได้มีเรื่องกับกองทัพแต่เป็นเพียงเฉพาะคนบางกลุ่ม เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ในส่วนของคลิปที่ออกมานั้นบางคลิปมีการพาดพิงถึงนายวิศิษฐ์ ซึ่งกำลังดูว่าเข้าข่ายทำผิดกฎหมายหมิ่นประมาทหรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ถ้าเข้าข่ายก็จะมีการแจ้งความเพิ่มเติม
ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ หลังจากเกิดเรื่องนั้น ตนพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะว่าเป็นจริงแล้วตำรวจสายตรวจทั้ง 2 นาย ไม่ได้เป็นผู้ติดตามลูกความของตน วันที่เกิดเหตุทางพนักงานโรงแรมโทรศัพท์ไปชวนให้ตำรวจทั้ง 2 คน ซึ่งออกเวรแล้วไปทานกาแฟที่โรงแรมเท่านั้น ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรม ตำรวจบางคนไม่รู้เรื่อง แต่ต้องถูกย้าย ตนจึงอยากช่วยเหลือในจุดนี้
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า โรงแรมป่าตองพารากอน มีความขัดแย้งกันทางธุรกิจ มีการฟ้องร้องกันอยู่ระหว่างผู้ถือหุ้น เป็นคดีอาญาและคดีแพ่ง อยู่ที่ศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ลงในรายละเอียด แต่จากการฟ้องร้องทำให้มีเรื่องเกิดขึ้นโดยเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ได้มีการติดต่อจากทหารหน่วยหนึ่งมาที่นายวิศิษฐ์ เพื่อเจรจารวมทั้งส่งทหารเข้ามา ซึ่งมีรายชื่อทั้งหมดแล้ว แต่ครั้งนั้นได้มีผู้ใหญ่มาช่วยเคลียร์จนจบ และ บอกว่าจะไม่ยุ่งแล้ว และ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาลตามปกติ
แต่ปัญหาภายในที่เกิดขึ้นยังไม่จบ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ รวมถึงอดีตพนักงานที่ถูกให้ออก ไม่ใช่พนักงานของลูกความตน โดยพนักงานดังกล่าว มีตำแหน่งรักษาการผู้ช่วยแผนกบุคคล แต่ให้ออกเนื่องจากขาดงานติดต่อ 6 วัน วันที่ 25-31 ธันวาคม 2560 ต่อจากนั้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 โดยอ้างว่า ถูกกักตัวอยู่ที่ด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ก่อนจะถูกส่งตัวมาไปยังโรงพยาบาล ม.อ.หาดใหญ่ จึงมาทำงานไม่ได้ และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงได้ จึงได้มีการบอกเลิกจ้างในวันที่ 5 มกราคม 2561 เนื่องจากขาดงานเกิน 3 วัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 119 (5) ซึ่งสามารถให้ออกได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
พร้อมทั้งได้ทำหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ตสอบถามเกี่ยวกับการไล่ออก ซึ่งได้คำตอบว่าได้ แต่หากมีการเจ็บป่วยจริงให้ไปต่อสู่ในศาล และมีสิทธิ์ห้ามมิให้เข้ามาในสถานประกอบการ หากฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุ อันควรหรือได้รับอนุญาต นายจ้างสามารถดำเนินการได้ตามสิทธิ์ของกฎหมาย
แต่ปรากฏว่าพนักงานคนดังกล่าวได้ไปหาหุ้นส่วนอีกคนและไม่ให้ออก ทำให้พนักงานยังมาทำงานอยู่ แต่ทางลูกความของตนได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ ในข้อหาบุกรุก ที่ สภ.ป่าตอง ส่วนพนักงานคนดังกล่าวได้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ว่า ถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกข่มขู่ ทางศูนย์ดำรงธรรมได้ส่งเรื่อง ทาง บก.ควบคุม พล.ร.5 ตรวจสอบ จากนั้นมีทหาร 9 นาย มาตรวจค้นที่โรงแรม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยไม่มีแจ้งหรือนัดหมายล่วงหน้า พร้อมอาวุธพกติดตัวตามคลิป และแจ้งว่าขอควบคุมตัวนายวิศิษฐ์โดยมีพนักงานคนดังกล่าวให้ความร่วมมือ ซึ่งมีภาพกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ทั้งหมด และยังเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม คือที่ส่วนบุคคล
ในการเข้ามานั้นได้มีการอ้างมาตรา 44 คำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 ข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานเรียกบุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงาน หากเป็นความผิดซึ่งหน้า ควบคุมตัวได้ทันที จึงตั้งคำถามว่า การที่นายวิศิษฐ์อยู่ในโรงแรม โดยไม่มีการแจ้ง และเข้ามาควบคุมตัว โดยใช้ข้อ 2(2) ไม่ใช่ความผิด ซึ่งทำได้หรือไม่ และยังไม่ได้ออกคำสั่งแม้แต่ฉบับเดียวแต่จู่โจมเข้ามา และ พกพาอาวุธปืนมาด้วย ในวันนั้นมีแขกโรงแรมจำนวนมาก และ ในคำสั่งดังกล่าวควบคุมตัวได้ไม่เกิน 7 วัน แต่นายวิศิษฐ์ไม่ยอม จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น และในมาตรา 9 เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องทำการโดยสุจริต ไม่กระทำโดยเกินกว่าเหตุหรือไม่
ส่วน คลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปทางลูกความของตนไม่เกี่ยว และ ไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่ ส่วนกรณีกล่าวหาว่านายวิศิษฐ์ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรม ว่า เป็นผู้มีอิทธิพลนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างมาก เพราะการให้พนักงานคนดังกล่าวออกนั้นได้ดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่เคยใช้อิทธิพลข่มขู่เลย และที่สำคัญเพิ่งมีหนังสือจาก บก.พล.ร.5 เรียกนายวิศิษฐ์ไปให้ข้อเท็จจริงว่ามีการร้องเรียนของประชาชนในจังหวัดภูเก็ต ให้ไปให้รายงานตัวที่หน่วยฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่โรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม อ.ถลาง ในวันที่ 11 เมษายน นี้ แต่ลูกความคงไม่ไป แต่จะไปร้องเรียนที่ คสช.ส่วนกลางแทน ถ้าจะไปก็ให้ย้ายทหารชุดนี้ออกไปก่อนเมื่อมีชุดใหม่เข้ามา ถึงจะไป
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไป นอกจากนั้นจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่าพนักงานคนดังกล่าวที่บอกว่า ถูกกักตัวที่ด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา นั้นไม่ได้เป็นความจริง แต่จากการตรวจสอบพบว่าพนักงานคนดังกล่าว ถูกจับกุมตัวในข้อหายาเสพติดมีไว้เพื่อจำหน่าย ที่ สภ.เมืองภูเก็ต ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน จึงอยากถามว่า ทางศูนย์ดำรงธรรมฯ และ ฝ่ายทหารไม่ทราบเลยหรือว่าพนักงานคนดังกล่าวถูกจับกุมในคดียาเสพติด ซึ่งในเรื่องนี้ต้องมีการชี้แจง เนื่องจากทางฝ่ายนายวิศิษฐ์เสียหายมาก และอยากให้รู้ว่าลูกความตนไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล และเราทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งพนักงานดังกล่าวให้การเท็จ ปกปิดความจริงเรื่องนี้ใครโกหกกันแน่