โดย...ทีมข่าวเฉพาะกิจ
อนุสนธิจากเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2561 ที่ผ่านมา นายวิศิษฐ์ เอี่ยมวิโรจน์ฤทธิ์ ผู้บริหารโรงแรมป่าตอง พารากอน อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความส่วนตัวและทีมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบกับ ร.ต.ท.ธนาคาร อุชณรัศมี พนักงานสอบสวนที่ สภ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาเพิ่ม หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และแจ้งความอดีตพนักงานโรงแรมในข้อหาแจ้งความเท็จมาแล้ว
สำหรับการเข้าแจ้งความเพิ่มเติมในครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากกรณีที่มีการแพร่คลิปวีดีโอนายทหารจำนวน 9 นายบุกเข้าไปยังโรงแรมของลูกความที่ป่าตอง ต่อมามีการออกมาให้ข่าวของแม่ทัพภาคที่ 4 และโฆษก กอ.รมน. ซึ่งปรากฏว่ามีข้อความบางอย่าง บางช่วง บางตอน ที่มีการแถลงข่าวส่งผลกระทบและเข้าข่ายหมิ่นประมาทลูกความของตน จึงเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีต่อโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาเพิ่มเติม
ภายหลังแจ้งความเพิ่มเติมต่อ สภ.ป่าตองในครั้งนั้น นายอนันต์ชัย ไชยเดช ในฐานะทนายความส่วนตัวนายวิศิษฐ์ เอี่ยมวิโรจน์ฤทธิ์ ผู้บริหารโรงแรมป่าตองพารากอน และหัวหน้าทีมทนายความ ได้ให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจต่อสื่อมวลชนไว้ด้วย โดยมีสาระสำคัญดังนี้
ก่อนหน้านี้ทางลูกความของตนได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว ทั้งคดีแพ่งและอาญากับเจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 9 นาย ที่เข้าไปยังโรงแรมตามที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด และอดีตพนักงานที่ถูกให้ออกเนื่องจากขาดงาน และมีการร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมว่า ลูกความของตนเป็นผู้มีอิทธิพลและข่มขู่ให้ออกจากงานโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งต่อมาทหารได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 และคำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 เข้าตรวจสอบ จนกระทั่งมีการเผยแพร่คลิปกรณีที่ทหารเข้าไปตรวจสอบ โดยได้แจ้งความไปเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยแจ้งความในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและแจ้งความเท็จ
หลังจากนี้ภายใน 1 เดือน หากการแจ้งความดำเนินคดีและการร้องเรียนให้ย้ายทหารทั้ง 9 นายออกจากพื้นที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในทางคดี หรือยังไม่มีการดำเนินการใดจากทางกองทัพภาค 4 หรือ ทางฝ่ายทหาร เราก็จะมีการแจ้งความเพิ่มเติมกับผู้เกี่ยวข้องอีก
“พร้อมเตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอความเป็นธรรมด้วย เพราะที่ผ่านมาหลังจากแจ้งความก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็ได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนถึงผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช.มาแล้ว และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีและกองทัพบกจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2561 มีนายทหารกลุ่มหนึ่งประมาณ 9 คนได้บุกรุกเข้าไปที่โรงแรมป่าตอง พารากอน ปรากฏว่ามีการถ่ายคลิปและโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ต่อมามีการโพสต์ข้อความโดยมี พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 กับ พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอรมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ออกมาให้ข่าวว่า เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือดูหมิ่นทหารกลุ่มนั้น
หลังจากนั้นในวันที่ 7 เม.ย.2561 ตนและนายวิศิษฐ์ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มทหารดังกล่าว แต่ปรากฏว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงอยากจะเรียนว่า จากการที่มีการแถลงข่าวของแม่ทัพภาคที่ 4 และทางโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในการแถลงข่าวสรุปสั้นๆ คือกล่าวหาว่า มีการเผยแพร่คลิปที่มีการตัดต่ออันเป็นความเท็จ และให้ทหารพระธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่คลิปดังกล่าวต่อสาธารณะชน
“อีกทั้งมีการอ้างโดยแม่ทัพภาค 4 ว่า การไปเผยแพร่คลิปทำให้ทหารของพระราชาทั้ง 9 คนเสียหาย และสร้างความเสียหายแก่กองทัพด้วย ซึ่งผมก็ได้ตอบไปแล้ว ผมกับคุณวิศิษฐ์และทีมกฎหมายทั้งหมดมาตรวจดูแล้วถึงถ้อยคำพูดของผู้ที่ให้สัมภาษณ์ทั้งของแม่ทัพภาค 4 และโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้มีการปรึกษาหารือกันเรียบร้อย”
เรื่องนี้ขอบอกสักนิดว่า ทางแม่ทัพภาคที่ 4 กับโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อ้างมาตรา 44 กับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 ว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายทุกประการนั้น อยากกราบเรียนว่า มาตรา 44 นี้เป็นมาตราที่นักกฎหมายและประชาชนทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่า เป็นมาตราที่รวมอำนาจทั้ง 3 อำนาจไว้ด้วยกันคือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ รวมไว้ทั้ง 3 อำนาจ เพราะฉะนั้นการใช้อำนาจมาตรา 44 นั้น นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้า คสช.ใช้ด้วยความระมัดระวัง อย่าได้ใช้พร่ำเพรื่อ ไม่ใช่ใช้ส่วนบุคคลหรือเป็นการเฉพาะ
เมื่อมีอำนาจมาตรา 44 แล้วหัวหน้า คสช.ก็ได้ออกคำสั่งที่ 13/2559 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ทหารถือเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าว เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติตามคำสั่งที่ 13/2559 มีขั้นตอนและระเบียบอยู่ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง ตามข้อสามวงเล็บหนึ่ง 3(1) ซึ่งสรุปสั้นๆ ว่า ต้องมีหนังสือเรียกมาสอบถามก่อน โดยต้องมีหนังสือเรียก และข้อสามวงเล็บสอง 3(2) คือ ความผิดซึ่งหน้าซึ่งควบคุมได้เลย แต่ปรากฏว่าการปฏิบัติการครั้งนี้มีการกล่าวหาจากพนักงานโรงแรมคนหนึ่งว่า นายวิศิษฐ์เป็นผู้มีอิทธิพล เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เป็นความผิดซึ่งหน้า
แต่ในวันนั้นการเข้ามาของเจ้าหน้าที่ทหาร มิใช่เข้ามาสอบสวนตามที่โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าพูด มิได้เข้ามาสอบถาม แต่เข้ามาจับกุมและควบคุมตัวเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านพูดมามิได้เป็นความจริงเลย เทปมีครบ
“ดังนั้นอยากจะบอกว่า การใช้คำสั่งที่ 13/2559 ผู้ปฏิบัติคือ ทหาร จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง หากท่านไม่ใช้ด้วยความระมัดระวัง จะกลายเป็นลุแก่อำนาจ และลุแก่อำนาจไม่พอ ยังจะกลายเป็นความผิดด้วย และถ้าหากท่านใช้อำนาจเกินไป จะเป็นการสำลักอำนาจด้วย เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติคือ ทหาร เมื่อใช้แล้วต้องระมัดระวัง”
กรณีของนายวิศิษฐ์ต้องออกหมายเรียกก่อนว่า จริงไหมที่เค้าพูด แต่ไม่ใช่มาถึงปฏิบัติการและพกปืนมาด้วย บังเอิญมีคนที่ไปออกคลิปถ่ายไว้ และโชคดีของนายวิศิษฐ์วันนั้นอยู่ที่โรงแรม มีคนเยอะทั้งคนไทยและคนต่างประเทศอยู่มากมาย ถ้าหากนายวิศิษฐ์ไปก็จะโดนขัง 7 วัน และก็ไม่รู้ว่าจะหายไปไหน ซึ่งตรงนี้ทางนายวิศิษฐ์ถือว่ารอดตายอย่างปาฏิหาริย์
การที่ให้สัมภาษณ์โดยแม่ทัพภาค 4 และโฆษกกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ออกมาปกป้องทหารทั้ง 9 นาย และจนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย ทางเรารอเหมือนพระอภัยมณีเป่าปี่ ทุกคนหลับหมด แต่โชคดีที่มีอยู่ 2 คนไม่หลับ เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2561 เราสองคนไปร้อง เค้าเรียกให้เราไปที่ พล ร.5 แต่เราไม่ไป เราไปที่หัวหน้า คสช. เราคิดว่าหลับกันหมด ปรากฏว่าโชคดีไม่หลับ
“ผมทราบข่าวมาว่าเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2561 พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงพื้นที่ จ.ระนอง ที่ค่ายรัตนรังสรรค์จังหวัดระนอง และท่านได้พูดถึงเรื่องของเราด้วย ผมตกใจที่ท่านกล้าพูดขนาดนั้น ขออนุญาตนำคำกล่าวที่ท่านพูดอยากให้ประชาชนได้ทราบว่าท่านพูดว่าอะไร ซึ่งข่าวนี้เป็นข่าวของศูนย์ข่าวภาคใต้ของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง เท็จจริงเป็นอย่างไรผมไม่ยืนยัน เพราะผมไม่ได้ไปฟังด้วยตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าข่าวเหล่านี้น่าจะเป็นความจริง...
“โดย ผบ.ทบ.กล่าวว่า ที่ผ่านมาปรากฏว่ามีการเน้นย้ำไม่ให้ทหารสร้างเงื่อนไขในทุกกรณี โดยเฉพาะการเข้าไปมีในผลประโยชน์ในทุกพื้นที่ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ข่าวไม่ค่อยดีในเรื่องนี้มา”
เห็นไหม แสดงว่าสิ่งที่เราไปร้อง คสช.นั้น ท่านรู้แล้ว ผู้บัญชาการทหารบกได้เดินทางมายังหน่วยป้องกันชายแดน กองกำลังเทพสตรี ในพื้นที่ค่ายรัตนรักษ์ จ.ระนอง ได้กล่าวให้โอวาทและมอบนโยบายแก่กองกำลังตอนหนึ่งว่า...
“สิ่งที่ขอเน้นย้ำเป็นพิเศษคือ ทหารต้องไม่สร้างเงื่อนไขในพื้นที่ ทุกกรณี หากพบการกระทำความผิดต้องลงโทษอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ซึ่งได้กำชับแม่ทัพภาค 4 แล้ว อันนี้สำคัญนะครับ”
โดยขณะนี้ทั้ง 4 เหล่าทัพ มีเฉพาะภาคใต้ตอนบนตั้งแต่ภูเก็ตขึ้นมาที่มีข่าวว่าทหารเข้าไปมีผลประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่ข่าวของตนแต่เพียงคนเดียว นายกรัฐมนตรีก็ได้ข่าวมา และตนก็มาดำเนินการ เพราะเมื่อทหารมาจัดระเบียบสังคมแล้ว ไม่ใช่ทหารกลายมาเป็นมาเฟียเสียเอง
ผบ.ทบ.ย้ำว่า เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะเหลืออายุราชการเพียง 6 เดือนเท่านั้น ถ้าหากมีเรื่องนี้ขึ้นมา หลักฐานชัดเจนจะดำเนินการทันที ทั้งทางกฎหมายและทางวินัยอย่างรุนแรง
“และที่สำคัญประเด็นจากนี้ไป ตั้งใจจับประเด็นให้ดีนะครับ ท่านพูดถึงเรื่องเราเลย ผมได้รับสัญญาณมาชัดเจน ผมสกัดมาแล้วทั่วประเทศที่ผมมาวันนี้ก็ส่วนหนึ่งไม่อยากมาปรักปรำ ข่าวมันออกไปอย่างนั้น คุณไปตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นใครที่ประพฤติตัวอยู่ในข่ายเหล่านี้ ขอให้เร่งรัดในการแก้ไข เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เยอะ ไม่ว่าจะเป็นชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต”
ประโยคต่อไปนี้สำคัญ ที่เป็นประเด็นใหญ่ ที่มีเรื่องราว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็กลายเป็นปัญหา มีรากฐานที่ลึกซึ้งกว่านั้น ไม่อยากให้ภาพของกองทัพทั้งภาคต้องมาเสียหายกับเรื่องทหารเข้ามาเกี่ยวพันกับความประพฤติอันมิชอบในหน้าที่
“ตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญหนึ่งที่สั่งการขอให้เร่งรัดในการแก้ไขปัญหา ผมตกใจที่ท่าน ผบ.ทบ.ซึ่งเป็นเพียงนายทหารท่านเดียวที่กล้าพูด ยอมรับความจริงว่า มีทหารบางส่วนในเขตภูเก็ต ระนอง พังงา เรียกรับผลประโยชน์ ท่านสุดยอดครับ ท่านเป็นทหารพระราชาจริงๆ ประวัติท่านไม่เคยเสีย ผบ.ทบ.คนนี้ผมว่าถ้าท่านทำเรื่องนี้ให้ปรากฏ ภาพลักษณ์ของกองทัพ ภาพลักษณ์ของ คสช.จะดีขึ้นมาก รวมถึงภาพลักษณ์ของ พล.อก.ประยุทธ์ด้วยจะดีขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อท่านพูดมาอย่างนี้ ท่านถือเป็นยอดทหารของพระราชา ไม่ใช่ทหารที่ทำให้พระราชาเสื่อมเสีย ผมทราบเรื่องนี้แล้วผมขนลุกขนพอง”
เมื่อวันก่อนตนจึงไปที่กองทัพบก ไปร้องเรียนยังท่าน ขอความเป็นธรรมจากท่าน โดยเอาประโยคที่ตนอ่านให้ท่านฟัง บอก ผบ.ทบ.ว่าผมและนายวิศิษฐ์ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ แสดงว่าคนที่เป่าปี่ให้ประชาชนหลับ ประชาชนหลับเกือบหมด รวมถึงนักข่าวบางสำนักก็กลัว ไม่กล้า ผมก็ไม่เข้าใจ แต่มีคนอยู่ 2 คนที่ไม่หลับคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ต้องยกนิ้วให้ท่าน
เมื่อเป็นอย่างนี้ ตนจึงทำหนังสือด่วนสรุปการกล่าวถ้อยคำของโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า บอกว่าเขากล่าวถ้อยคำบางช่วงบางตอนที่นายวิศิษฐ์เห็นแล้วว่า น่าจะเข้าข่ายเป็นความผิด โดยเฉพาะ มีประโยคหนึ่งเขาบอกว่า
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาจากหนังสือร้องเรียน นับได้ว่าเป็นการเข้าข่ายกระทำความผิดอย่างชัดเจน อย่างนี้นี่แสดงว่าเมื่อมีหนังสือร้องเรียนกล่าวหาเป็นผู้อิทธิพล แสดงว่านายวิศิษฐ์เป็นผู้เข้าข่ายกระทำความผิดหรือครับ ช่วยจำกัดความคำว่าผู้มีอิทธิพลหน่อย ผู้มีอิทธิพล หมายถึง ผู้ที่ทำความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติบ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคม ราชบัลลังก์ ไม่ใช่เพื่อคนๆ เดียว”
เรื่องนี้ปรากฏชัดเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามที่ตนได้กล่าวสู่สาธารณะชน ปรากฏว่ากองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เงียบหมด ตกลงประชาชนไม่รู้เลยใช่ไหมว่า สิ่งที่ กอ.รมน.พูด สิ่งที่แม่ทัพภาค 4 พูด ตนและนายวิศิษฐ์พูด อะไรเป็นเรื่องจริง อะไรเป็นเรื่องเท็จ และประชาชนก็ไม่รู้หลับกันหมด ตนต้องขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์กับ ผบ.ทบ.ที่ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏ
“และจะบอกให้ภายใน 1 เดือนถ้าหากว่ากองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่กลับมาแก้ไข ผมจะทำหนังสือถวายฎีกาพระเจ้าอยู่หัว เพราะคุณไปอ้างว่าทหารทั้ง 9 นายเป็นทหารของพระราชา ผมและทุกคนก็เป็นราษฎรของพระราชา ผมจะไปถวายฎีกาต่อพระองค์ท่านว่า พวกผมถูกรังแกจากทหารที่อ้างว่ากลุ่มตนเป็นทหารของพระราชา หนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันนี้ ถ้ากองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่ออกมาชี้แจง ไม่มีการตั้งกรรมการสอบ และไม่แถลงข่าวกับนักข่าว ผมไปถวายฎีกาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว”
มีคนถามตนและนายวิศิษฐ์เยอะว่า กลัวไหม ตนและนายวิศิษฏ์กล่าวตอบกลับไปว่า ไม่กลัว ถ้าเป็นทหารที่นอกแถวจะกลัวทำไม ตนเป็นราษฎรของพระราชา ถ้าคิดจะทำร้ายตนและครอบครัวนายวิศิษฐ์ หรือทีมงานของตนทุกคน ตนไม่กลัวหรอก เพราะตนและทุกคนเป็นราษฎรของพระราชา เราทุกคนต่างเพียงทำหน้าที่สวมหัวโขนกันอยู่เท่านั้น