ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชนคีรีวง ประกาศปิดให้บริการชั่วคราว หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเรียกร้องให้ทบทวนการจัดการท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.นครศรีธรรมราช แห่งนี้ใหม่ให้มีความยั่งยืน และไม่กระทบต่อวิถีชุมชน
วันนี้ (20 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีการนำเสนอประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมคือหมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ผ่านการสะท้อนผ่านข้อเขียนชื่อ “บันทึกเรื่องราว” ซึ่งเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ในหน้าเพจเฟซบุ๊ก “หมู่บ้านคีรีวง วิถีชีวิต วิถีชาวบ้าน วิถีชุมชน” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
“ความทุกข์ของคนที่อยู่บ้านตัวเองไม่ได้ บ้านผมอยู่คีรีวง นครศรีธรรมราช แต่ทุกวันหยุดยาว หรือช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ผมกลับกลับบ้านตัวเองไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่กรุงเทพฯ เพราะที่บ้านเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถนนในหุบเขารถติดกว่าสิบกิโลหลายชั่วโมงเช่นถนนในเมืองหลวง เราถูกกักขังในบ้าน จะไปไหนก็ลำบาก ออกไปเจอแต่คน คน คน จ๊อกแจ๊กจอแจไปหมด อย่าว่าแต่รถยนต์เลย ชาวบ้านที่ขับมอเตอร์ไซค์ก็ยังลำบาก ยิ่งหน้าผลไม้ขับรถขึ้นลงภูเขาหาบของก็หนักอยู่แล้ว ยังต้องเจอขบวนการนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเต็มพื้นที่ขวางทางไปหมด เซลฟี่กลางถนนบ้างล่ะ จอดรถถ่ายรูปกลางสะพานเข้าออกบ้างล่ะ จอดรถในที่ห้ามจอดเพื่อลงไปซื้อของ หรือเล่นน้ำบ้างล่ะ
พอชาวบ้านไปบอกก็โดนต่อว่า ถีบรถจักรยานวกวนสับสนขวางทางจนชาวบ้านหักหลบไม่ทัน ล้มลุกคลุกคลานมานักต่อนักแล้ว บ้างก็ส่งเสียงดัง สร้างมลภาวะ ทั้งขยะ อากาศ และน้ำเสีย รบกวนความสงบเป็นอย่างยิ่ง (เดือดร้อนถึงชุมชนใกล้เคียงด้วย)
ที่นี่มีประชากรเพียง 10-15% ที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว แต่เราก็เห็นใจกันและกัน ไม่มีใครพูดอะไรมาก จะเล่าให้ฟัง วันหนึ่งผมไปนั่งทานอาหารร้านญาติ มีนักท่องเที่ยวจากสงขลาบอกว่า ทำไมที่คีรีวงไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ คำตอบที่ผมให้ก็คือ พี่ต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ 70% ทำสวน มีคนได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว 10-15% คนอื่นไม่ได้มีหน้าที่ต้องต้อนรับใคร เขาอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ ปราศจากการรบกวน อีกทั้งยังอธิบายให้เขาฟังพอสังเขปเรื่องการท่องเที่ยวที่รบกวนวิถีชีวิตชุมชน เช่น การทิ้งขยะ การเดิน ถ่ายรูป จอดรถขวางถนน สตาร์ทติดเครื่องยนต์ (ทั้งรถบัสนำเที่ยว รถตู้ และรถส่วนตัว ควันโขมง) การขับรถบิ๊กไบค์มาโชว์เพาส่งเสียงดัง หรือท่าทีดัดจริตตอแหล และมีพฤติกรรมเบ่งกร่างเหยียดหยามชาวบ้าน
ท่านรู้มั้ยว่า นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐเป็นนโยบายการหาเงินที่มักง่าย ไม่รับผิดชอบระยะยาว นอกจากบรรดาข้าราชการจะฉกฉวยผลประโยชน์ คอร์รัปชัน ทำงานสร้างภาพแบบลูบหน้าปะจมูกแล้ว ยังสร้างปัญหาให้ชาวบ้านทุกด้าน ทั้งเกิดอิทธิพลในท้องถิ่น เกิดช่องว่างทางรายได้ ทำลายสิ่งแวดล้อม ภูมิทัศน์ ต้นไม้ ลำคลอง และรบกวนวิถีชีวิต โดยรัฐไม่ได้วางแผนอะไรรองรับอย่างเป็นระบบ คิดแต่เงิน เงิน เงิน ปล่อยให้ความโลภเข้าสิงคนในชาติจนทำให้ความเป็นมนุษย์เสื่อมถอยอยู่ทั่วไป
ความรำคาญใจของผม เช่นเดียวกับอาแหวว คุณเบญจมาศ นิมมานเหมินท์ ซึ่งอยู่เชียงใหม่ พอวันหยุดยาวทีไรต้องระเห็จระเหเร่ร่อนไปอยู่กรุงเทพฯ ทุกครั้งไป ท่านเห็นความพินาศของเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ภูเก็ต เวียงจันทน์ หรือวังเวียง หรือไม่ เพราะไอ้เงิน และคนอัปรีย์นี้แหละมาทำร้าย
ผมเข้าใจว่าบ้านเราใครอยากมาเที่ยวก็ย่อมได้ แต่อยากสะท้อนให้ท่านเห็นด้วยว่า หากเข้าใจถึงทุกบริบท และคำนึงถึงใจเขาใจเรา คนที่อยู่ข้างในส่วนมากก็อยากให้พี่น้องเพื่อนพ้องมีรายได้ อยู่ดีกินดี แต่ขอให้ท่านที่จะเป็น “นักท่องเที่ยว” โปรดระลึกไว้เสมอเวลาไปเที่ยวบ้านใครก็ตามว่า กรุณาเคารพซึ่งวิถีชีวิต อย่าไปเบียดเบียนความปกติสุขของใครเขา
ซึ่งจากข้อเขียนดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อกรณีนี้ ซึ่งล่าสุด ทางเพจ “สวนเปี่ยมสุข” ซึ่งเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่รองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาเยือนหมู่บ้านคีรีวง ได้ประกาศแสดงจุดยืนทบทวนการจัดการท่องเที่ยวที่ผ่านมา ที่ดำเนินอยู่ และจะต่อเนื่องไปในอนาคต เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่สร้างประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่ายร่วมกัน เพจสวนเปี่ยมสุข โดยผู้ใช้ชื่อ “วรา จันทร์มณี บ้านเชิงชายคีรีวง เสาร์ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ระบุผ่านทางเพจสวนเปี่ยมสุขว่า
“สวนเปี่ยมสุข พื้นที่เล็กๆ ในอ้อมกอดของขุนเขา และสายน้ำ ตั้งอยู่บนพื้นที่หมู่บ้านคีรีวง เติมทีสวนแห่งนี้เป็นสวนของ พ่อเฒ่าเปี่ยม ขุนทน เป็นสวนสมรมที่พ่อเฒ่า สร้างมาด้วยแรงของพ่อเฒ่า และคนในครอบครัว ดั้งเดิมสวนแห่งนี้มีพื้นที่ 3 ไร่กว่าๆ มีผลไม้เต็มสวน มีลำธารเล็กๆ ล้อมรอบสวน จนเมื่อปี 2531 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นกับหมู่บ้านของเรา สวนของพ่อเฒ่า พังพินาศ น้ำป่าพัดพาทุกสิ่งไป ในสวนของเราจึงเหลือแค่ทุเรียนโบราณ 2 ต้น กับมังคุด 3 ต้น
พื้นที่ในสวนเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญมากมายเต็มไปหมดทั้งสวน ดินโคลน ทราย ที่ถล่มลงมาขยี้สวนผลไม้ของเรา จนเราแทบถอดใจกับสภาพที่เห็น ทั้งโคลน ทั้งดินทราย ทั้งท่อนซุง ซากปรักหักพังเต็มไปหมดทั้งสวน ลำธารน้ำใสๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่มีน้ำที่เป็นสีโคลน มีกลิ่นเหม็น ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตในน้ำสีโคลนนั้น กุ้งหอยปูปลาใดๆ ไม่มีอีกแล้ว เรายังจำภาพวันนั้นได้ติดตา
เราแทบหมดกำลังใจที่จะสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ เพราะทุกอย่างมันพังพินาศ แทบไม่มีชิ้นดี เราคงไม่มีปัญญาเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ที่มีอยู่เต็มสวนเพื่อสร้างสวนผลไม้สมรมต่อไป เราทิ้งพื้นที่สวนไว้ให้ธรรมชาติเยียวยาอยู่หลายปี จนแม่น้ำที่เคยเป็นสีโคลน เปลี่ยนเป็นน้ำใส ดินโคลนดินทรายที่เคยเหม็นเน่า กลายเป็นดินที่พอเพาะปลูกได้บ้าง พ่อเฒ่า พ่อ และแม่ได้เริ่มลงมือในการสร้างสวนแห่งนี้อีกครั้ง
ด้วยความหวังว่าอย่างน้อยสวนแห่งนี้คือมรดกที่พ่อเฒ่าสร้างขึ้นมาด้วยสองมือท่าน หวังไว้ให้ลูกหลานได้ทำกินเลี้ยงชีพ ถึงแม้พื้นที่สวนของเราจะเหลือไม่มาก เพราะบางส่วนกลายเป็นน้ำตก กลายเป็นลำธาร ล้อมรอบสวนของเราไปแล้ว หินก้อนใหญ่ๆ เกินแรงของเราที่เคลื่อนย้ายมัน เราหาพื้นที่ระหว่างซอกหิน ในการปลูกต้นมังคุด และต้นไม้อื่นๆ ขึ้นมาใหม่ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ที่มันตายไป
ด้วยสภาพพื้นทรายที่ไม่สามารถหล่อเลี้ยงให้ต้นมังคุดเติบใหญ่ได้ แต่เราก็ยังคงจะปลูกมันต่อไป 27 ปีมาแล้ว กับการพยายามสร้างสวนสมรมขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ในสวนเริ่มมีมังคุดรุ่นหลาน ออกผลบ้างแล้ว สวนเปี่ยมสุข จึงกลับมาเป็นสวนเปี่ยมสุขอีกครั้ง
เพราะความรัก และผูกพันในที่ผืนนี้ เราจึงสร้างขนำเล็กๆขึ้นมา เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนของครอบครัว เวลาเรามาทำสวน มานอนฟังเสียงป่า เสียงน้ำตก เล่นน้ำ มาพักผ่อนในวันหยุด ความสุขที่เราได้สัมผัส มันเกินบรรยายที่เราจะเล่าให้ใครๆ ฟัง “ธรรมชาติ ได้เยียวยาเรา ด้วยธรรมชาติจริงๆ” ทุกครั้งที่มาที่นี่ ทุกคนก็มีความสุข เราจึงตั้งชื่อสวนแห่งนี้ว่า “สวนเปี่ยมสุข” คำว่า เปี่ยม มาจากชื่อ “พ่อเฒ่าเปี่ยม” ผู้ชายที่เรารักที่สุด และเป็นผู้สร้างสวนแห่งนี้ สุข คือ สุขทั้งกายและใจเมื่อได้มาที่นี่
สองสามปีที่ผ่านมา เริ่มมีกลุ่มเพื่อนๆ เดินทางมายังสวนเปี่ยมสุข เยอะขึ้น สิ่งที่เรารู้สึกคือ เรามีความสุขในการต้อนรับกลุ่มเพื่อน มิตรสหาย แขกที่มาเยือน เลยตัดสินใจสร้างขนำสร้างศาลาเพิ่มขึ้น ไว้ต้อนรับความสุขที่เพิ่มขึ้น และนี่คือก้าวแรกของเรา เราจะค่อยๆ ก้าวไปพร้อมๆ กับความสุขของมิตรสหายทุกท่าน และเราหวังว่าเราคงมีโอกาสต้อนรับความสุขของท่าน ณ สวนเปี่ยมสุข “มาเติมสุข ที่สวนเปี่ยมสุข” ร่วมกันกับเรานะคะ
ทั้งนี้ ทางสวนเปี่ยมสุข ได้ประกาศปิดสวนชั่วคราว (งดใช้สถานที่) โดยระบุว่า เพื่อกำหนดกฎกติกาในการใช้สถานที่ #เราอยากเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ ที่สงบในป่าใหญ่ตามวิถีแห่งเรา
ต่อปรากฏการณ์นี้ ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนรายหนึ่งสะท้อนว่า หากการแสดงความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้เป็นไปเพื่อทบทวน และนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชนอย่างยั่งยืน ภาคประชาชนทุกคนควรมีส่วนร่วมเพื่อเป็นตัวอย่างต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ให้ตอบสนองต่อประชาชนโดยรวมต่อไป