ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ได้คืนที่หลวง 178 ไร่ ริมหาดลายัน-เลพัง ต.เชิงทะเล จ.ภูเก็ต มูลค่านับหมื่นล้าน หลังศาลฎีกาตัดสินให้รัฐชนะคดี เอกชน 6 ราย ฟ้องรัฐ ยันเป็นที่สาธารณะ ขณะที่ดีเอสไอ ท้องถิ่น ปกครอง พร้อมลุยจับกุมดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด คัดค้านการประกันตัวหากคนบุกรุกไม่ยอมออก
จากกรณีผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีเอกชนฟ้องรัฐ ระหว่าง นางอรพรรณ พลอยเพชร กับพวกโจทก์ ฟ้องกรมที่ดิน จังหวัดภูเก็ต นายอำเภอถลาง หัวหน้าสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตส่วนแยกถลาง ร่วมกันเป็นจำเลย 1-5 เมื่อ ปี พ.ศ.2549 โดยศาลพิพากษาให้โจทก์ที่ 1-5 ประกอบด้วย นางสดใส องค์ศรีตระกูล นายพิทักษ์ บุญพจนสุนทร นายสวัสดิ์ ทองไพยุทธ นางอรพรรณ พลอยเพชร ออกจากพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพัง พร้อมบริวาร และให้ยกโจทก์ที่ 6 โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
ล่าสุด วันนี้ (2 พ.ย.) ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่จากอำเภอถลาง เจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการต่อที่ดิน จำนวน 178 ไร่ บริเวณชายหาดลายัน-หาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท หลังศาลฎีกาตัดสินให้ภาครัฐเป็นผู้ชนะคดีที่เอกชน จำนวน 6 ราย ฟ้องรัฐ
พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมในครั้งนี้ตนได้รับมอบหมายจากอธิบดีให้ลงพื้นที่เพื่อร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งศาลได้ติดสินออกมาชัดเจนแล้วว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางดีเอสไอได้รับคดีเกี่ยวกับที่ดินในบริเวณดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ หลังจากนี้ การดำเนินการก็จะต้องดำเนินการในลักษณะคดีพิเศษ
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลตัดสินแล้วก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งจะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการปิดประกาศให้ชัดเจนเพื่อบังคับคดีต่อผู้ที่อยู่ และใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ออกจากพื้นที่ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อศาลตัดสินชัดเจนแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ของรัฐ เพราะฉะนั้นคนที่ยึดถือครองอยู่ก็ต้องออกจากพื้นที่ เพราะไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวทราบว่า ก่อนหน้านี้ทางจังหวัด และอำเภอได้ออกประกาศให้ที่ดิน จำนวน 178 ไร่ดังกล่าว เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ดิน มาตรา 20 เมื่อปี 2544 หลังจากมีการประกาศ ก็มีเอกชน จำนวน 9 ราย ยื่นคัดค้าน หลังจากนั้น มีการฟ้องศาลจำนวน 6 ราย ส่วนอีก 3 ราย ไม่มีการดำเนินการ ซึ่งในส่วนของจุดนี้ทางดีเอสไอเข้ามารับเป็นคดีพิเศษด้วย
ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ เมื่อดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ในการดำเนินการทางดีเอสไอก็จะต้องเป็นผู้ดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของรายที่มีการบุกรุกอยู่เดิม รวมทั้งรายที่เข้ามาใหม่แต่มีคนเดิมอยู่เบื้องหลัง ทางดีเอสไอก็จะต้องเข้ามาตรวจสอบทำประวัติ หากถึงเวลายังไม่ยอมออกจากพื้นที่ ก็จะขอศาลอนุมัติหมายจับเพื่อดำเนินการจับกุม และดำเนินคดี ซึ่งจะนำตัวไปดำเนินคดีที่กรุงเทพฯ๗ ถ้าหากมีการจับกุมทางตนก็จะคัดค้านการประกันตัวทุกราย ส่วนกรณีที่มีรายใหม่เข้ามาบุกรุก ทางพื้นที่ ทั้งปกครอง ตำรวจสามารถดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณะได้เลย เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ขณะที่ นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล กล่าวว่า ที่ดินจำนวน 178 ไร่ เป็นที่ดินติดชายหาดลายัน ไปจนถึงเลพัง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ปัจจุบันยังมีคนบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ ทั้งธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และอื่นๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.บุกรุกประกอบการทางด้านการท่องเที่ยว 2.ใช้นอมินีเข้ามาแสดงการครอบครอง 3.กลุ่มบุกรุกเดิมที่มี จำนวน 9 ราย และ 6 ราย แสดงตัวคัดค้าน และมีการฟ้องร้อง อบต. จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ศาลตัดสินออกมาแล้วว่าที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินสาธารณะ
ส่วนกรณีมีการอ้างเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ครอบครองนั้น ทางกรมที่ดินตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาและมีการ เพิกถอนเมื่อปี พ.ศ2527 และต่อมา จังหวัดภูเก็ต โดยเจ้าพนักงานที่ดินสาขาถลาง ได้ขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพัง หมู่ที่ 4 และ 6 ต่อเนื่องกัน ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 178 ไร่ เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ดิน มาตรา 20 เมื่อ ปี 2544 หลังจากนั้น ก็มีการฟ้องร้องทางจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยก่อนหน้านี้ ซึ่งมีการฟ้องร้องกันจนถึงศาลฎีกาที่มีการตัดสินไปแล้วเมื่อวานนี้ โดยพิพากษาให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ หลังจากนี้ ก็จะต้องมีการปักป้ายเพื่อแจ้งให้ผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นก็จะนำที่ดินดังกล่าวมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
จากกรณีผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีเอกชนฟ้องรัฐ ระหว่าง นางอรพรรณ พลอยเพชร กับพวกโจทก์ ฟ้องกรมที่ดิน จังหวัดภูเก็ต นายอำเภอถลาง หัวหน้าสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตส่วนแยกถลาง ร่วมกันเป็นจำเลย 1-5 เมื่อ ปี พ.ศ.2549 โดยศาลพิพากษาให้โจทก์ที่ 1-5 ประกอบด้วย นางสดใส องค์ศรีตระกูล นายพิทักษ์ บุญพจนสุนทร นายสวัสดิ์ ทองไพยุทธ นางอรพรรณ พลอยเพชร ออกจากพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพัง พร้อมบริวาร และให้ยกโจทก์ที่ 6 โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
ล่าสุด วันนี้ (2 พ.ย.) ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่จากอำเภอถลาง เจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการต่อที่ดิน จำนวน 178 ไร่ บริเวณชายหาดลายัน-หาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท หลังศาลฎีกาตัดสินให้ภาครัฐเป็นผู้ชนะคดีที่เอกชน จำนวน 6 ราย ฟ้องรัฐ
พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมในครั้งนี้ตนได้รับมอบหมายจากอธิบดีให้ลงพื้นที่เพื่อร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งศาลได้ติดสินออกมาชัดเจนแล้วว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางดีเอสไอได้รับคดีเกี่ยวกับที่ดินในบริเวณดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ หลังจากนี้ การดำเนินการก็จะต้องดำเนินการในลักษณะคดีพิเศษ
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลตัดสินแล้วก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งจะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการปิดประกาศให้ชัดเจนเพื่อบังคับคดีต่อผู้ที่อยู่ และใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ออกจากพื้นที่ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อศาลตัดสินชัดเจนแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ของรัฐ เพราะฉะนั้นคนที่ยึดถือครองอยู่ก็ต้องออกจากพื้นที่ เพราะไม่มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวทราบว่า ก่อนหน้านี้ทางจังหวัด และอำเภอได้ออกประกาศให้ที่ดิน จำนวน 178 ไร่ดังกล่าว เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ดิน มาตรา 20 เมื่อปี 2544 หลังจากมีการประกาศ ก็มีเอกชน จำนวน 9 ราย ยื่นคัดค้าน หลังจากนั้น มีการฟ้องศาลจำนวน 6 ราย ส่วนอีก 3 ราย ไม่มีการดำเนินการ ซึ่งในส่วนของจุดนี้ทางดีเอสไอเข้ามารับเป็นคดีพิเศษด้วย
ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ เมื่อดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ในการดำเนินการทางดีเอสไอก็จะต้องเป็นผู้ดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของรายที่มีการบุกรุกอยู่เดิม รวมทั้งรายที่เข้ามาใหม่แต่มีคนเดิมอยู่เบื้องหลัง ทางดีเอสไอก็จะต้องเข้ามาตรวจสอบทำประวัติ หากถึงเวลายังไม่ยอมออกจากพื้นที่ ก็จะขอศาลอนุมัติหมายจับเพื่อดำเนินการจับกุม และดำเนินคดี ซึ่งจะนำตัวไปดำเนินคดีที่กรุงเทพฯ๗ ถ้าหากมีการจับกุมทางตนก็จะคัดค้านการประกันตัวทุกราย ส่วนกรณีที่มีรายใหม่เข้ามาบุกรุก ทางพื้นที่ ทั้งปกครอง ตำรวจสามารถดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณะได้เลย เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ขณะที่ นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล กล่าวว่า ที่ดินจำนวน 178 ไร่ เป็นที่ดินติดชายหาดลายัน ไปจนถึงเลพัง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ปัจจุบันยังมีคนบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ ทั้งธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และอื่นๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.บุกรุกประกอบการทางด้านการท่องเที่ยว 2.ใช้นอมินีเข้ามาแสดงการครอบครอง 3.กลุ่มบุกรุกเดิมที่มี จำนวน 9 ราย และ 6 ราย แสดงตัวคัดค้าน และมีการฟ้องร้อง อบต. จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ศาลตัดสินออกมาแล้วว่าที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินสาธารณะ
ส่วนกรณีมีการอ้างเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ครอบครองนั้น ทางกรมที่ดินตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาและมีการ เพิกถอนเมื่อปี พ.ศ2527 และต่อมา จังหวัดภูเก็ต โดยเจ้าพนักงานที่ดินสาขาถลาง ได้ขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพัง หมู่ที่ 4 และ 6 ต่อเนื่องกัน ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 178 ไร่ เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติที่ดิน มาตรา 20 เมื่อ ปี 2544 หลังจากนั้น ก็มีการฟ้องร้องทางจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยก่อนหน้านี้ ซึ่งมีการฟ้องร้องกันจนถึงศาลฎีกาที่มีการตัดสินไปแล้วเมื่อวานนี้ โดยพิพากษาให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ หลังจากนี้ ก็จะต้องมีการปักป้ายเพื่อแจ้งให้ผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นก็จะนำที่ดินดังกล่าวมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน