ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กรมอุทยานฯ ร่วมกรมประมง มหาวิทยาลัยมหิดลและเกษตรศาสตร์ พิสูจน์สายพันธุ์ “เลพัง” จระเข้ที่จับได้ในขุมน้ำหน้าหาดเลพัง จ.ภูเก็ต เพื่อวางแผนจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสม เก็บตัวอย่างเลือด เซลล์เยื่อบุ ตรวจดีเอ็นเอ พบเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติในทะเลจุดใดจุดหนึ่งที่มีประวัติจระเข้อาศัยอยู่ หากเป็นลูกผสมจะต้องอยู่ในบรรยากาศกึ่งธรรมชาติ รู้ผลอีก 1-2 สัปดาห์
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (8 ก.ย.) ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณะบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายมนตรี สุมนฑา นักวิชาการประมงชำนาญการ (ผู้เชี่ยวชาญสัตว์เลื้อยคลาน) กรมประมง สัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล นายไพบูลย์ บุญลิปตานนท์ ประมงจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางมายังศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 5 (ภูเก็ต) เพื่อพิสูจน์ว่า จระเข้ตัวดังกล่าว (เลพัง) ที่จับได้บริเวณขุมน้ำหน้าหาดเลพัง เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา และนำมาเลี้ยงไว้ที่ศูนย์ฯ เป็นจระเข้สายพันธุ์น้ำเค็มแท้ หรือสายพันธุ์ผสม พร้อมทั้งมีการตรวจสภาพร่างกายทั่วไป เก็บข้อมูลทางชีวภาพ ตรวจหาตำหนิ และไมโครชิป เก็บตัวอย่างเลือด เซลล์เยื่อบุ อุจจาระ รวมไปถึงตรวจเพศ และตรวจเชื้อโรคติดต่อ
โดยขั้นตอนการตรวจในวันนี้ เริ่มจากชุดไกรทอง แหล่งลุ่มน้ำตาปี จ.สราษฎร์ธานี ในสังกัดศูนย์ปราบปรามและป้องกันการทำประมงน้ำจืดภาคใต้ สุราษฎร์ธานี นำโดย นายนิคม สุขสวัสดิ หัวหน้าชุดฯ ได้ลงไปจับจระเข้เพื่อให้สัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ลงไปตรวจวัดความยาว ได้ 2.87 เมตร ตรวจค้นหาไมโครชิป ปรากฏว่า ไม่พบ จึงได้ฝั่งไมโครชิปไว้ที่บริเวณโคนหางด้านช้าย เก็บตัวอย่างเลือด และเซลล์เยื่อบุ เพื่อนำไปตรวจหาอีเด็นเอในการพิสูจน์ว่าจระเข้ตัวดังกล่าวเป็นสายพันธุ์น้ำเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือว่าเป็นสายพันธุ์ผสม ซึ่งในขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะทราบผล ตรวจหาเพศพบว่า เป็นเพศผู้ ร่วมทั้งตรวจสุขภาพโดยรวม ทำให้ทราบว่าจระเข้ตัวนี้มีสุขภาพแข็งแรงดี
การตรวจหาดีเอ็นดีเพื่อที่ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนที่จะดำเนินการต่อจระเข้ตัวดังกล่าว หากพบว่าเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์ ก็จะต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ และหากเป็นจระเข้ลูกผสม ก็จะต้องดำเนินการหาที่อยู่ที่เป็นกึ่งธรรมชาติ เพราะจระเข้ไม่สามารถที่จะอยู่ในบ่อเลี้ยงดังกล่าวได้ตลอดไป จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมต่อจระเข้ และปลอดภัยสำหรับประชาชนด้วย
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีการกังวลกันว่า จระเข้มีความเครียดที่ถูกนำมาขังไว้ในบ่อไม่ยอมกินอาหารนั้น เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า ในช่วงแรกที่นำมาขังไว้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำซี่โครงไก่ และปลาตายมาโยนให้ไม่ยอมกินอาหาร จนถึงขณะนี้เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะจระเข้จะกินอาหารสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไป และบางตัวกินอาหารครั้งหนึ่งอยู่ได้เป็นเดือน โดยเจ้าหนี่จะเริ่มให้อาหารที่เป็นปลามีชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นอาหารในธรรมชาติของจระเข้น้ำเค็ม
ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า วันนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานฯ กรมประมง มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเดินทางมาตรวจพิสูจน์สายพันธุ์ของจระเข้ตัวดังกล่าว และตรวจสุขภาพ รวมทั้งอื่นๆ โดยวัดความยาวได้ 2.87 เมตร เป็นเพศผู้ มีสุขภาพแข็งแรงดี การการพิสูจน์สายพันธุ์นั้น ได้มีการเก็บตัวอย่างเลือด และเซลล์เยื่อบุไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะทราบผลภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในเบื้องต้น จากการตรวจสอบสภาพร่างกายเป็นจระเข้น้ำเค็ม แต่เพื่อให้รู้ว่าเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์ หรือพันธุ์ผสม จะต้องรอผลการตรวจดีเอ็นเอต่อไป
ดร.ปิ่นศักดิ์ กล่าวเพิ่มว่า เมื่อเราทราบสายพันธุ์แล้ว ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้วางแผนต่อไปว่าที่อยู่ที่เหมาะสมของจระเข้ตัวนี้จะอยู่ไหน ถ้าเป็นเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ ส่วนจะเป็นบริเวณใดของทะเลอันดามันจะต้องมีการศึกษากันอีกครั้ง แต่จะต้องเป็นจุดที่ประวัติว่าเคยมีทะเลอาศัยอยู่ และจะต้องเป็นความเห็นชอบของคนในพื้นด้วย
ด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อทราบสายพันธุ์ที่ชัดเจนแล้วจะทำให้ทราบได้ว่า จะดำเนินการอย่างไรในการหาที่อาศัยให้จระเข้ อยากเสนอว่า หากเป็นสายพันธุ์ผสมจะต้องหาที่อยู่ที่เป็นบ่อขนาดใหญ่เนื้อที่ 5-10 ไร่ เพื่อให้จระเข้อยู่ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนจะเป็นจุดนั้นให้ขึ้นอยู่กับทางจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการติดสัญณาณที่จระเข้ด้วยเพื่อให้ทราบจุดที่อยู่ หากเป็นพันธุ์น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์ จะต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ ซึ่งในทะเลอันดามันมีพื้นที่อุทยานที่อยู่ห่างไกลชายฝั่ง และไม่คนอาศัยอยู่หลายพื้นที่ น่าที่จะเป็นที่อยู่ของจระเข้ได้อย่างปลอดภัย และคนก็ปลอดภัยด้วย ในระยะอันใกล้นี้ อยากให้ทางกรมประมงหาบ่อเลี้ยงที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ก่อน เพื่อให้จระเข้อยู่ในบรรยากาศที่ดี
ดร.ธรณ์ กล่าวเพิ่มว่า การพบเจ้าเลพังจระเข้น้ำเค็มในครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาสนใจจระเข้น้ำเค็มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่เราไม่มีข้อมูลจระเข้น้ำเค็มในธรรมชาติแล้ว และทำให้เราได้ทราบว่า คนไทยหันมาสนใจสัตว์ดุร้ายในธรรมชาติมากขึ้นและไม่ต้องการทำร้ายสัตว์เรานั้น แต่จะหาวิธีในการป้องกันให้สัตว์เรานั้นอยู่ในธรรมชาติของมันได้ การพบจระเข้น้ำเค็มตัวนี้น่าที่จะเป็น “เลพังโมเดล” ได้ เพื่อนำไปใช้หากเราพบจระเข้น้ำเค็มอีกว่าจะต้องดำเนินการในลักษณะแบบใด