ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กรมประมงได้ข้อสรุปหาบ้านหลังใหม่ให้ “เลพัง” จระเข้ลูกผสมที่หลุดมาแหวกว่ายอยู่กลางทะเล หน้าหาดเลพังได้แล้ว เตรียมย้ายเข้าไปอยู่ใน “สวนสัตว์ภูเก็ต” กลางเดือนธันวาคมนี้ เพื่อความเหมาะสมที่สุด ทั้งจระเข้และคน ระบุลูกผสมไม่สามารถปล่อยสู่ธรรมชาติตามกฎหมายของกรมประมง
เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (17 พ.ย.) ดร.อดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง พร้อมด้วย นายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายไพบูลย์ บุญลิปตานนท์ ประมงจังหวัดภูเก็ต นายไวยพจน์ เครือเสน่ห์ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 5 ภูเก็ต สพ.ญ.นรีรัตน์ สังขะไชย คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยลัยมหิดล ตัวแทนจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายพิชัย สกุลสอน ผู้จัดการสวนสัตว์ภูเก็ต ร่วมกันแถลงข่าวการบริหารจัดการจระเข้ “เลพัง” ที่จับกุมได้บริเวณขุมน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้ๆกับหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา และนำมาเลี้ยงไว้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง บ้านพารา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติรายหนึ่งถ่ายภาพมุมสูงจระเข้กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลหน้าหาดเลพัง ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องค้นหา และสามารถจับกุมตัวได้ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 5 ภูเก็ต บ้านพารา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
ดร.อดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้นำจระเข้ “เลพัง” มาเลี้ยงไว้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เพื่อรอการบริหารจัดการจระเข้ตัวดังกล่าวให้เหมาะสมที่สุด ทางมหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ตรวจดีเอ็นเอ และพบว่า จระเข้ “เลพัง” เป็นจระเข้ลูกผสมระหว่างจระเข้น้ำจืดกับจระเข้น้ำเค็ม ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากฟาร์ม และเข้าสู่แหล่งธรรมชาติโดยไม่ทราบสาเหตุและแหล่งที่มา ซึ่งจระเข้ลูกผสมนั้นไม่มีคุณค่าในเชิงอนุรักษ์ และตามระเบียบของกรมประมง ไม่สามารถที่จะปล่อยสู่ธรรมชาติ หรือนำไปใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมจระเข้พันธุ์แท้ได้อีกต่อไป
ดังนั้น จำเป็นต้องจะต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมที่สุดให้แก่จระเข้ตัวดังกล่าว จากการหารือร่วมกันของจังหวัดภูเก็ต กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติฯ คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถึงภาคเอกชน คือ สวนสัตว์ภูเก็ต ในวันนี้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อจระเข้ตัวดังกล่าวเป็นลูกผสมไม่สามารถปล่อยสู่ธรรมชาติได้ จำเป็นที่จะต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมซึ่งอาจจะไม่ใช่ภูเก็ต ถ้าไม่ใช่ภูเก็ตแล้วคนภูเก็ตจะรู้สึกอย่างไร จึงได้ข้อสรุปว่า จระเข้ตัวนี้จะต้องอยู่ในภูเก็ตเท่านั้น เพราะเป็นจระเข้ที่จับได้ในภูเก็ต และมีความผูกพันกับคนภูเก็ต จึงได้พิจารณาสถานที่ที่จะสามารถเลี้ยงจระเข้ได้ ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ มีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว ไม่มีสถานที่และเจ้าหน้าที่ไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงจระเข้ และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง ที่จระเข้อยู่ในขณะนี้มีแต่บ่อเพาะเลี้ยงปลาที่เป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงจระเข้ อยู่ห่างไกลจากชุมชน ไม่เหมาะในการที่จะทำเป็นแหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวสำหรับเยาวชนในการเรียนรู้ชีวิตสัตว์เลื่อยคลานได้
ที่ประชุมจึงได้ข้อสรุปว่า ทางกรมประมง จะร่วมกับภาคเอกชนในการดูแลจระเข้เลพัง โดยการร่วมกับทางสวนสัตว์ภูเก็ต ในการนำจระเข้เลพัง ไปเลี้ยง ในลักษณะของการมอบให้สวนสัตว์ภูเก็ตเป็นผู้ดูแล แต่กรรมสิทธิ์ในตัวจระเข้ยังคงเป็นของรัฐเหมือนเดิม และต่อไปหากเอกชนรายใดสนใจที่จะขอจระเข้ตัวดังกล่าวไม่ดูแลก็สามารถดำเนินการแจ้งความประสงค์ต่อทางกรมประมงได้ แต่จะต้องเป็นพื้นที่ในภูเก็ตเท่านั้น การมอบจระเข้ตัวดังกล่าวให้สวนสัตว์ภูเก็ตดูแล เนื่องจากทางกรมประมง มองว่า สวนสัตว์ภูเก็ต มีศักยภาพในการดูแลได้เป็นอย่างดี เพราะมีประสบการณ์ในการทำสวนสัตว์ และเลี้ยงจระเข้มานานกว่า 30 ปี ซึ่งขณะนี้มีจระเข้ที่อยู่ในการดูแลกว่า 200 ตัว และจระเข้เลพัง จะเป็นจระเข้ที่จะไว้โชว์ให้เด็กๆ ผู้ที่สนใจ ได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ แต่จะไม่อนุญาตให้นำไปแสดงโชว์เหมือนตัวอื่นๆ
“ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทำเอกสารข้อตกลงในการมอบจระเข้ให้ทางสวนสัตว์ภูเก็ตเป็นผู้ดูแล ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบจระเข้ให้ทางสวนสัตว์ภูเก็ตได้ประมาณกลางเดือน ธ.ค.นี้ หลังจากนั้น ชาวภูเก็ตสามารถที่จะเข้าไปชมจระเข้ตัวดังกล่าวได้ที่สวนสัตว์ภูเก็ต”
ดร.อดิศร กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาถึงที่อยู่ใหม่ของจระเข้เลพังที่เป็นในส่วนของธรรมชาติ ทั้งพรุขขนาดไหนอย่างละเอียด แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะตามระเบียบไม่สามารถนำสัตว์ลูกผสมไปปล่อยตามธรรมชาติได้ และที่สำคัญ การนำจระเข้ไปปล่อยในธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย เพราะจระเข้สามารถที่จะว่ายน้ำ และเดินไปยังจุดต่างๆ ได้ ทำให้เป็นอันตรายต่อตัวจระเข้ และคนได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมทั้งจระเข้และคน และอยากจะฝากชาวภูเก็ตทุกท่านช่วยกันดูแลจระเข้ เลพัง ตัวนี้ด้วย
ด้าน นายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต สนับสนุนที่จะให้จระเข้ตัวดังกล่าวไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมที่สุด โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และข้อระเบียบต่างๆ ของกรมประมง
ขณะที่ นายพิชัย สกุลสอน ผู้จัดการสวนสัตว์ภูเก็ต กล่าวว่า ทางสวนสัตว์ภูเก็ตรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับความไว้วางใจจากจังหวัดภูเก็ต และกรมประมง ให้เป็นผู้ดูแล “เลพัง” ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถดูแลเจ้าเลพังได้เป็นอย่างดี จากประสบการณ์การเพาะเลี้ยงจระเข้มานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่เปิดสวนสัตว์มาจนถึงขณะนี้เราไม่เคยซื้อจระเข้มาในสวนสัตว์ จระทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้กว่า 200 ตัว เป็นจระเข้ที่เพาะพันธุ์เองทั้งหมด และทางเราจะดูแลเจ้าเลพังให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยขณะนี้ทางสวนสัตว์ได้มีการปรับปรุงบ่อจระเข้เพื่อรองรับเจ้าเลพังแล้ว เป็นบ่อที่เลี้ยงเพียงตัวเดียวเท่านั้น เป็นบ่อทรงกลมขนาด 20-24 เมตร และบริเวณบ่อจะมีการทำป้ายแสดงถึงที่มาของจระเข้ตัวนี้ด้วย ชาวภูเก็ตทุกท่านสามารถที่จะเข้าไปเยี่ยมชมได้ตลอดเวลา