โดย...ศูนย์ข่าวภาคใต้
--------------------------------------------------------------------------------
จะเป็นไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กรณี “ไลน์หลุด” ออกจากโทรศัพท์มือถือที่ส่งหากันภายในของกลุ่มคนสวมเครื่องแบบในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 8 เมื่อกระจายสู่สาธารณะก็ได้กลายเป็นที่ฮือฮาโจษขานกันในหมู่นักท่องโลกโซเซียลมีเดีย และสุดท้ายก็ไม่วายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมทางหน้าสื่อมวลชน
อันส่งผลสะเทือนไม่เฉพาะบิ๊กดีลธุรกิจซื้อขายที่ดินทำเลทอง แปลงใหญ่ และงามชายฝั่งทะเลอ่าวไทยมูลค่าเป็นพันล้านบาทเท่านั้น แต่ยังทำลายความฝันที่ต้องการจะต่อเชื่อมคอนเนกชันระหว่างก๊วนการเมืองใหญ่ในภาคใต้ ให้ได้มีโอกาสจับมือกระชับแน่นกับกลุ่มทุนใหญ่ที่บรรดาผู้กุมอำนาจรัฐต่างเกรงใจ เพื่อจะได้ติดสปริงบอร์ดเข้าสู่สนามเลือกตั้งตามโรดแมปที่ คสช.วางไว้ในอีกไม่ช้านาน
เรื่องราวไลน์หลุดจนเป็นที่ครึกครื้น และครึกโครมดังกล่าวนี้ เพิ่งถูกเปิดเผยจนเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อได้กลายเป็นพาดหัวข่าวใน “MGR Online ภาคใต้” ความว่า...สะพัดสื่อออนไลน์! “วิชัย-คิง เพาเวอร์” ดอดเจรจาซื้อที่ดินแปลงงามริมหาดที่นครฯ จาก “ลุงกำนันสุเทพ” (http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000126262)
ในข่าวระบุว่า ช่วงเช้าของวันนั้นมีภาพ และเนื้อหาสะพัดในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับกรณี “ลุงกำนัน-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อดีตเลขาธิการ กปปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี หลายสมัย ได้ให้การต้อนรับคณะของ “เจ้าสัววิชัย-นายวิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของกลุ่มกิจการคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี ในประเทศอังกฤษ
ณ บริเวณชายหาดในเพลา อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช
ซึ่งฝ่ายคณะของเจ้าสัววิชัย เดินทางไปโดยเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว เพื่อไปเจรจาซื้อที่ดินติดชายหาดดังกล่าว โดยในข่าวยังระบุว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกิน 1 สัปดาห์ก่อนหน้าเหตุการณ์ไลน์หลุด
ทั้งนี้ การเดินทางล่องใต้ของคณะเจ้าสัววิชัย ได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างดีจากตำรวจ และทหารในพื้นที่ ส่วนบริเวณที่ดินบริเวณชายหาดในเพลา ที่สนใจจะซื้อถือว่าเป็นแปลงที่สวยงามที่สุดของ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีข่าวว่า ทีมงานของลุงกำนันสุเทพ ได้กว้านซื้อจากชาวบ้านไปเกือบไว้ตลอดช่วงประมาณ 10 มานี้ในราคาไร่ละไม่เกิน 10 ล้านบาท แต่ที่เจรจาจะขายให้เป็นราคาตลาดของวันนี้ ซึ่งน่าจะพุ่งไประดับไร่ละเป็นหลักร้อยล้านบาท
แม้ที่ดินบางแปลงจะเคยมีปัญหามาบ้าง แต่ก็สามารถรวบรวมเป็นแปลงใหญ่ได้ และแม้จะอยู่ในพื้นที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช แต่ก็เป็นเขตที่ติดต่อกับพื้นที่ของ อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี อีกทั้งว่ากันว่า จุดเริ่มต้นของการต่อสายซื้อขายที่ดินกันในครั้งนี้น่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ กปปส.จัดชุมนุมใหญ่เคลื่อนไหวทางการเมืองในกรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ช่วงค่ำของวันที่ 20 ธ.ค.เดียวกันนั้น “MGR Online ภาคใต้” ก็ได้รายงานข่าวแบบลงลึกในรายละเอียดต่อมาด้วยพาดหัวว่า...เปิดเบื้องลึก! “เสี่ยวิชัย-คิงเพาเวอร์” บินด่วนเจรจาซื้อที่ดินชายหาดเมืองคอน เผยก๊วน “ลุงกำนัน” แค่คิวแทรก (http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000126537)
เนื้อหาข่าวให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ได้รับการเปิดเผยข้อเท็จจริงจากผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่า ภาพเหตุการณ์ในไลน์หลุดจากกลุ่มตำรวจภูธรภาค 8 นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าสัววิชัย นำเครื่องบินหรูส่วนตัวขนคณะจากกรุงเทพฯ เดินทางไปยังเมืองคอน ซึ่ง 1 ในนั้นมี “เจ้าคุณธงชัย-พระพรหมมังคลาจารย์ (ธงชัย ธมฺมธโช)” รวมอยู่ด้วย เพื่อไปทำพิธีกรรมที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช
พร้อมกันนั้น เจ้าสัววิชัย ได้สั่งให้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวใช้ขนคณะบางส่วนจากเมืองนคร ต่อไปยังหาดในเพลาใน อ.ขนอม เพื่อเจรจาซื้อขายที่ดินริมทะเลผืนงามตามที่มีการนัดหมายกับกลุ่มนายทุนที่ต้องการจะขายไว้แล้ว แต่ไม่ใช่ตั้งใจไปเจรจาซื้อขายที่ดินกับทีมของลุงกำนันสุเทพ
โดยเฮลิคอปเตอร์ที่มีข้อความระบุชัดบนตัวเครื่องชัดเจนว่า คิง เพาเวอร์ ได้ไปร่อนลงจอดที่สนามโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ขนอม จากนั้นมี พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ไปรอต้อนรับถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมมีการวางกำลังตำรวจจำนวนหนึ่งค่อยให้การคุ้มกัน และดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วบริเวณ
“เจ้าสัววิชัย มาทำพิธีที่นครฯ บ่อยๆ ตอนหลังไสยศาสตร์จ๋า เลยทำให้รู้จัก และสนิทกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะนายตำรวจในพื้นที่ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด” ผู้คร่ำหวอดธุรกิจที่ดินเมืองคอนบอกเล่าให้ฟังก่อนย้ำว่า
ความจริงแล้วทางเจ้าของคิง เพาเวอร์ ได้เดินทางไปดูที่ดินแปลงงามติดทะเลที่มีวิวที่สวยที่สุดในย่านชายหาดในเพลา ซึ่งที่ดินแปลงนี้ได้ถูกนักธุรกิจต่างชาติจากแถบประเทศสแกนดิเนเวียได้กว้านซื้อไว้ในมือก่อนแล้ว จึงนัดเจรจาขอซื้อ
ส่วนคณะของลุงกำนันสุเทพ เมื่อทราบเรื่องก็เดินทางไปดักรอพบบริเวณชายหาดในเพลา พร้อมด้วย “ลูกเลี้ยงหัวแก้วหัวแหวน-นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” กรรมการและเลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อดีตโฆษก กปปส. อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตเลขานุการส่วนตัวของลุงกำนันสุเทพ สมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ปฏิบัติการของทีมลุงกำนันสุเทพครั้งนี้ เป้าหมายหลักก็เพื่อขอเปิดดีลธุรกิจซื้อขายที่ดินจำนวนหนึ่งที่มีอยู่ในมือให้กับกลุ่มเจ้าสัวคิง เพาเวอร์ ซึ่งถ้าไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช ก็อาจจะเป็นที่ดินผืนงามบนเกาะสมุย หรือเกาะพะงันใน จ.สุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกเป้าหมายสำคัญยิ่งยวด แม้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจนในเวลานี้ แต่บรรดาคอการเมืองของเมืองคอนก็คุยกันสนุกปากตามสภากาแฟว่า ความเคลื่อนไหวของทีมลุงกำนันสุเทพ ยังมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเชื่อมร้อยสัมพันธ์กับกลุ่มของเจ้าสัววิชัย ให้แนบแน่น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คนรู้จักมักคุ้นเหมือนที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะเพื่อให้สามารถต่อสายไปจับมือกับกลุ่มก้อนการเมืองที่อยู่รอบกายของเจ้าสัว เจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี ในประเทศอังกฤษอีกทอดหนึ่ง
“วันนั้นหลังเสร็จพิธีในเมืองคอน คณะเสี่ยวิชัย ก็เอา ฮ.บินต่อไปดูบริเวณดินชายหาดที่ขนอม โดยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราช ไปรอรับคณะเสี่ยววิชัย ด้วยตัวเอง น่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 นั่นแหละที่ไปบอกลุงกำนันสุเทพ แกเลยจัดถือโอกาสตามไปรับที่ชายหาดในเพลา แล้วเสนอขายที่ดินของที่แกรวบรวมไว้ผสมไปด้วยแบบเนียนๆ งานนี้หลังจากเป็นข่าวตำรวจทั้ง 2 คน กำลังตกใจกันว่า ภาพหลุดออกมาได้อย่างไร ซึ่งแน่นนอนว่าหลุดมาจากตำรวจนั่นแหละ”
คำบอกเล่าของผู้คร่ำหวอดธุรกิจที่ดินเมืองคอนยังเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับที่ดินทำเลงามชายทะเลบริเวณหาดในเพลา หาดในแปร็ด และหาดปากน้ำ ซึ่งรวมกันเรียกว่าหาดหน้าด่านใน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ที่ผ่านมา มีนายทุนต่างชาติเข้าไปกว้านซื้อไว้แล้วจำนวนหลายแปลง โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศแถบสแกนดิเนเวีย รวมถึงนายทุน และกลุ่มมาเฟียจากประเทศรัสเซีย โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินีถือครองสิทธิแทน จึงไม่แปลกที่ในภาพจะมีฝรั่งรวมอยู่ในภาพเหตุการณ์ของวันนั้นด้วย
จากกรณีไลน์หลุด แล้วนำไปสู่การเป็นข่าวครึกโครมดังกล่าวนี้ นับว่าได้บอกเรื่องราวสำคัญๆ ไว้ให้แก่สังคมมากมาย ประเด็นหนึ่งคงไม่พ้นเรื่องของการกว้านที่ดินทำเลทองไปไว้ในมือกลุ่มทุนทั้งไทย และเทศ โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่กับบรรดานักการเมืองใหญ่ต่างๆ ทั้งในระดับพื้นที่ และระดับชาติยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง อันเป็นรูปแบบหนึ่งของการแย่งชิงทรัพยากรในลักษณะที่เรียกได้ว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า กลุ่มทุนจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย และรัสเซียไม่ได้สนใจแต่เฉพาะที่ดินแปลงงามตามชายฝั่ง หรือเกาะแก่งฟากทะเลอันดามันเท่านั้น ในฟากฝั่งอ่าวไทยก็ถูกไล่ซื้อเพื่อลงทุน หรือเก็บไว้รองรับอนาคตทางธุรกิจท่องเที่ยวแบบแทบจะไม่แตกต่าง จากการกว้านซื้อที่ดินทำเลทองบนเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า ได้ลุกลามขึ้นฝั่งไปยังชายหาดสวยงามของหลายจังหวัดฝั่งอ่าวไทยแล้วในเวลานี้
แน่นอนถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากคนไทย โดยเฉพาะคนในพื้นที่ให้ทำหน้าที่นอมินีถือกรรมสิทธิ์ออกหน้าแทน การกว้านซื้อที่ดินของบรรดานายทุนต่างชาติไม่มีวันบรรลุผล อีกอย่างนายทุนต่างชาติที่ไปกว้านซื้อที่ดินต้องที่มีลักษณะเป็นมาเฟียด้วย หรือไม่ก็ต้องมีนักการเมืองหรือข้าราชการใหญ่สยายปีกให้การคุ้มครองว่า บรรดานอมินีไทยต้องไม่บิดพลิ้วยึดเอาที่ดินไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวเล่าขานต่อๆ กันในหมู่คนนครฯ ว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้ชาวบ้านที่รับเป็นนอมินีรายหนึ่ง ชีวิตต้องมีอันพลิกผันกลับกลายเป็นมหาเศรษฐีแบบไม่คาดคิดชั่วข้ามคืน เมื่อมีข่าวว่า มาเฟียนักธุรกิจข้ามชาติที่มอบให้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทน เกิดเดินทางกลับไปเสียชีวิตแบบกะทันหันในบ้านเกินของตัวเอง
ความจริงแล้วก่อนที่ดินชายหาดย่านทำเลทองของ จ.นครศรีธรรมราช ใช่เพิ่มจะบูมขึ้นกันในห้วงเวลานี้เท่านั้น หากนับย้อนหลังไปก่อนหน้าได้ราวถึงครึ่งศตวรรษทีเดียวที่เคยบูมกันแบบสุดๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง มีการรวบรวมเป็นแปลงใหญ่ๆ แล้วกว้านซื้อไปเก็บไว้ในกลุ่มนักการเมือง และกลุ่มทุนทั้งระดับชาติ และในพื้นที่กันอย่างคึกคัก
ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตามด้วยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา มีแผนที่จะเดินหน้า “โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้” หรือ “เซาเทิร์นซีบอร์ด” แบบเต็มสูบ ด้วยก่อสร้างอภิมหาเมกะโปรเจกต์ “สะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยกับอันดามัน” หรือที่เรียกกันว่า “แลนด์บริดจ์นครศรีธรรมราช-กระบี่” อันจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะดันภาคใต้ของไทยได้เป็น “ศูนย์กลางพลังงานโลก” แห่งใหม่ เสริมศักยภาพ “โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก” หรือ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ที่ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลางพลังงานชาติ” อยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้ยังมีอนุสาวรีย์เป็นเครื่องยืนยันคือ “ถนนเซาเทิร์นซีบอร์ด” หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 44 ที่เริ่มก่อสร้างสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่ในคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นมีชื่อของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถนนเส้นนี้เคยถูกกำหนดให้เป็น “มอเตอร์เวย์” ขบวนรถขนสินค้าสามารถวิ่งฉิ่วไปได้สะดวกดาย มีการเว้นพื้นที่ช่องกลางถนนไว้เฉลี่ยถึง 150 เมตร ชนิดที่รถยนต์ 2 ฟากฝั่งมองไม่เห็นกัน เนื่องจากเตรียมพื้นที่กึ่งกลางถนนไว้รองรับการก่อสร้าง “เส้นทางรถไฟขนตู้คอนเทนเนอร์” และ “วางระบบท่อน้ำมันและท่อก๊าซ” แล้วสร้าง “ท่าเรือน้ำลึกหัว-ท้าย” ไว้ฝั่งอันดามันที่ จ.กระบี่ ส่วนฝั่งอ่าวไทย กำหนดชัดว่าอยู่ที่ชายฝั่งทะเลใน อ.ขนอม ที่ในเวลานี้ที่ดินบริเวณนั้นหวนกลับมาบูมอีกครั้ง รับยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนจากการตั้งแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรมมาเป็นการท่องเที่ยว
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า การที่เจ้าสัววิชัย ต้องการซื้อที่ดินชายทะเลแปลงงามที่บริเวณหาดในเพลา แล้วแอบยกคณะนั่งเครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวไปขอเจรจากับนายทุนต่างชาติเจ้าของกรรมสิทธิ์ตัวจริงเสียจริง ทำไมจึงต้องมีดีลซื้อขายที่ดินของทีมลุงกำนันสุเทพ สวนแทรกเข้าไปด้วย แล้วเกิดเป็นไลน์หลุดอย่างอึกทึกครึกโครมดังกล่าว
อีกประเด็นหนึ่งที่ตามมากับกรณีไลน์หลุด ซึ่งบอกอะไรแก่สังคมไทยไว้แบบน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ไม่ว่าจะยุครัฐบาลกึ่งประชาธิปไตย หรือพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในยุคประชาธิปไตยแบ่งบาน หรือยุครัฐบาลทหารที่ได้อำนาจมาจากปากกระบอกปืน ความเป็นไปในโครงสร้างอำนาจรัฐแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน “วงจรอุบาทว์” ที่ประกอบขึ้นจาก “นายทุน-นักการเมือง-ข้าราชการ” ยังทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนเดิม
จึงไม่ต้องแปลกใจที่บรรยากาศภายใน “กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8” และ “กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราช” ในเวลานี้จะมากมายไปด้วยความรุ่มร้อน ทั้งที่แทบจะทั่วพื้นที่มีฟ้าฝนกระหน่ำหนักติดต่อกันมาแล้วกว่าสัปดาห์ แถมศูนย์อุตุนิยมวิทยายังเตือนต่อไปด้วยว่า อากาศน่าจะยังหนาวเย็นต่อเนื่องไปอีกสักระยะ
แต่ที่น่าแปลกใจกลับมีเสียงร่ำลือผ่านคนใกล้ชิด พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และ พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราช ว่า เวลานี้นายตำรวจใหญ่ทั้ง 2 คนทำไมถึงกลับแสดงอาการหนาวยะเยือกให้คนรอบข้างได้เห็น ขณะที่ก็มีตำรวจในสังกัดบางคนที่แอบอมยิ้มไว้บนมุมปาก
แม้จะเพิ่งผ่านไปเพียงแค่กว่าสัปดาห์ แต่ผลสะเทือนจากปรากฏการณ์ไลน์หลุดออกจากเครือข่ายคนสวมชุดกากีในยุทธจักรโล่เงินแห่งเมืองนครฯ ก็ได้กระทบชิ่งให้เห็นแล้วอย่างเป็นที่ประจักษ์พอสมควร โดยเฉพาะผลกระทบในส่วนที่ต้องนับว่าสาหัสสากรรจ์เอาการก็คือ ฝ่ายเจ้าสัวเจ้าของอาณาจักรคิง เพาเวอร์ รู้สึกโกรธมากกับกรณีที่กลายเป็นข่าวใหญ่โต และว่ากันว่าเป็นไปได้ที่อาจจะถึงขั้นมีการยกเลิกดีลซื้อขายที่ดินบริเวณชายหาดในเพลา กับกลุ่มทุนข้ามชาติที่ถือไว้ก็เป็นได้
และมิพักต้องพูดถึงกรณีทีมลุงกำนันสุเทพ ขอแทรกคิวเสนอขายที่ดินให้แก่กลุ่มเจ้าสัววิชัยว่า ดีลธุรกิจนี้จะยังเดินหน้าต่อไปได้อีกหรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้น เวลานี้ยังกลับมีข่าวใหม่สะพัดในหมู่คอการเมืองแห่งเมืองนครฯ ว่า กรณีไลน์หลุดได้ส่งผลให้ความฝันของลุงกำนันสุเทพ ที่เคยวาดหวังไว้สวยหรู ในอันที่จะใช้ธุรกิจที่ดินเชื่อมสัมพันธ์ให้แนบแน่นกับเจ้าสัวเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี พังครื้นลงไปแล้ว
ดังนั้น โอกาสที่จะได้ยื่นมือต่อไปจับกับกลุ่มการเมืองใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบๆ เจ้าสัววิชัย ให้แน่นหนาขึ้น เพื่อใช้เป็นสปริงบอร์ดในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าตามโรดแมป คสช. ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของ “นายเนวิน ชิดชอบ” ผู้พิสมัยวงการลูกหนังด้วยกันในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือกลุ่มของ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ความฝันนี้ก็ต้องมีอันสะดุดหยุดลงไปด้วยเช่นกัน
จึงเป็นที่มาของวาทกรรมฮิตของคนเมืองพระในเวลานี้ ซึ่งมักบอกเล่าเรื่องราวแบบเล่าสู่กันฟังว่า...“ไลน์หลุด..สะดุดรัก” นั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------
อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง
- สะพัดสื่อออนไลน์! “วิชัย-คิง เพาเวอร์” ดอดเจรจาซื้อที่ดินแปลงงามริมหาดที่นครฯ จาก “ลุงกำนันสุเทพ”
- เปิดเบื้องลึก! “เสี่ยวิชัย-คิงเพาเวอร์” บินด่วนเจรจาซื้อที่ดินชายหาดเมืองคอน เผยก๊วน “ลุงกำนัน” แค่คิวแทรก