พัทลุง - จากกรณีร้องผู้ว่าฯ พัทลุง สั่งเบรกยุทธการทวงคืนฝืนป่าในพื้นที่ของนักปกครองท้องถิ่น เผยไม่ได้สั่งระงับแค่ชะลอไว้ก่อน ชาวบ้านชี้ถ้าเป็นของตนคงโดนยึดไปนานแล้ว
วันนี้ (19 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นายภิรมย์ นิลทยา ได้สั่งระงับโครงการยุทธการทวงคืนฝืนป่าของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ที่จะทวงคืนฝืนป่าต้นน้ำกลับคืนจากกลุ่มนายทุน เพื่อกลับมาเป็นสมบัติของชาตินั้น
ล่าสุด จากการตรวจสอบพื้นที่ป่าบุกรุกที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า จะดำเนินการทำลายผลอาสิน โดยการตัดโค่นต้นยางพาราในพื้นที่ ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม และ ต.คลองทรายขาว ต.คลองเฉลิม อ.กงหรา จ.พัทลุง ช่วงวันที่ 21-22 ธันวาคมนี้ จำนวน 70 ไร่ และ 50 ไร่ นั้นเป็นของนักปกครองท้องถิ่น จึงทำให้มีการระงับการตัดโค่นดังกล่าว โดยทางเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ ได้เร่งทำหนังสือรายงานไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นในการยึดพื้นที่ป่าต้นน้ำมาเป็นสมบัติของชาติแล้วเช่นกัน เพราะหากไม่ดำเนินการจะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายได้
และเวลาเดียวกัน นายภิรมย์ นิลทยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้กล่าวต่อทาง กอ.รมน.จังหวัดพัทลุง ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องป่าตามมติ คสช.ที่ 66/2557 ว่า เรื่องวันก่อนที่ป่าไม้เข้าไปดำเนินการรื้อถอนฯ ที่ศรีนครินทร์แล้ว และกำลังจะรื้อถอนในพื้นที่ อ.กงหรา และ อ.ป่าพะยอม ตนไม่ได้สั่งระงับ เพียงแต่เป็นการชะลอไว้ก่อน และจะมีการดำเนินการกันอีก เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการต้องระมัดระวัง
ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมป่าพื้นที่อุทยานรายหนึ่ง กล่าวว่า หากพื้นที่บุกรุกเป็นของชาวบ้าน ตอนนี้นี้เจ้าหน้าที่คงได้ตัดทำลายผลอาสินไปนานแล้ว หลังจากคดีได้ดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายเสร็จสิ้น แต่นี่ที่ไม่สามารถตัดโค่นได้เพราะเป็นพื้นที่บุกรุกของกลุ่มทุน และกลุ่มนักปกครองท้องถิ่น ซึ่งป่าที่จะทวงคืนทั้งหมดเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจยึดไว้ตั้งแต่ปี 2554-2555 และหากมีการยื้อเวลาไม่ตัดโค่น ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้เจ้าของเดิมสามารถเข้าไปทำกินได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นช่องในการกระทำผิดกฎหมายที่ไม่น่าเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
