เมืองไทย 360 องศา
ถ้าจะบอกว่าความเคลื่อนไหวของทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการเตรียมการเข้าไปจับกุม พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจรและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเลย ก็ถือว่าคราวนี้มีความเอาจริงเอาจังมากที่สุดกว่าทุกครั้ง
เพราะตามข่าวระบุว่า มีการสนธิกำลังกันระหว่างเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมไปถึงการขอความร่วมมือขอกำลังฝ่ายทหารเข้ามาเสริมอีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วประมาณกว่าสามพันคน รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ กระทั่งมีการเตรียมแพทย์ พยาบาล และรถพยาบาลเอาไว้ด้วย
ขณะเดียวกัน ล่าสุด มีรายงานว่า ทางดีเอสไอได้มีหมายค้นจากศาลรวมแล้ว 4 หมาย นั่นคือ หมายค้นวัดพระธรรมกายตั้งแต่วันที่ 13 - 16 ธันวาคม สามารถเข้าค้นได้ต่อเนื่องถึง 4 วันเลยทีเดียว
สำทับจากการให้สัมภาษณ์ของทั้ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีการประชุมร่วมกันก็ทำให้เข้าใจว่าคราวนี้ “น่าจะ” เอาจริงกว่าทุกครั้ง
เริ่มจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล กล่าวว่า จะทำตามกฎหมายเบาไปหาหนัก ผิดกบิลบ้านกบิลเมืองก็จะต้องดำเนินการ แต่เราต้องดูแลไม่ให้มือที่สามมาแทรกซ้อนต้องระวังเอาไว้ก่อน ที่ผ่านมา ก็เห็นแต่มีคนปิดหน้าปิดตากันตรงนี้ เราก็ต้องระมัดระวัง ถ้ามีคนขัดขวางเราก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย ไม่งั้นจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เราเข้าไปตามหมายศาล ถ้ามีการพบเห็นว่าขัดขวางการจับกุมแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินคดี เจ้าหน้าที่จะมีความผิดไปด้วย
ส่วน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า การออกหมายค้นพนักงานสอบสวนจะต้องแนบแผนที่และรายละเอียดให้ศาลพิจารณา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ในส่วนเอกสารก็กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนเรื่องวันเวลาการขอหมายค้นคงเปิดเผยไม่ได้
“ไม่ขอตอบรายละเอียดตรงนี้ ส่วนจะขอหมายค้นติดกันหลายวันหรือไม่นั้น อยู่ในแผนการปฏิบัติอยู่แล้ว รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ ดีเอสไอใช้กฎหมายเรื่องบูรณาการในวันนี้ ก็ประชุมแต่ละหน่วยเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจส่วนหนึ่ง”
ฟังจากคำพูดดังกล่าวมันก็น่าเชื่อได้ว่าเอาแน่ เพียงแต่ว่าคราวนี้จะไม่มีการบอกรายละเอียดในการเข้าตรวจค้นจับกุมเหมือนกับครั้งแรกที่ดีเอสไอเข้าไปแล้วถูกขัดขวางจนต้องล่าถอยออกมา และที่น่าจับตาว่าศาลได้อนุมัติหมายค้นวัดพระธรรมกายได้ต่อเนื่องถึงสี่วันนั้นก็สังเกตได้จากที่ล่าสุดมีทนายความของวัดพระธรรมกายได้ยื่นร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนหมายคนดังกล่าวเสีย มันก็แสดงให้เห็นว่ามีหมายค้นจริง และทางวัดก็เริ่มพล่านกันมากขึ้น มีการระดมทั้งพระทั้งมวลชน เครื่องจักรที่เป็นอุปกรณ์ขัดขวางเอาไว้ทุกทางเพื่อรับมือเจ้าหน้าที่
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายนั่นคือทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายธัมมชโย ก็ต้องบอกว่า “เต็มที่” กว่าทุกครั้ง และมาถึงเวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความกดดัน เริ่มจากฝ่ายธัมมชโย ที่กำลังถูกสังคมสงสัยว่าหากมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาทำไมไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอน ต้องพิสูจน์กันด้วยพยานหลักฐาน ไม่ใช่พิสูจน์กันด้วยความเชื่ออย่างทุกวันนี้ที่บรรดาลูกศิษย์มั่นใจว่า “หลวงพ่อไม่มีความผิดและถูกกลั่นแกล้ง” หากอ้างกันแบบนี้บรรดาผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับนับหมื่นนับแสนทั่วประเทศก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันหมด การอ้างว่าตัวเองไม่ผิดแล้วดื้อแพ่งไม่ยอมให้จับกุมมันก็เหมือนกับการปฏิเสธกฎหมาย ปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรม ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งสังคมส่วนใหญ่เริ่มรับไม่ได้และหมดความอดทนกับคนพวกนี้
ข้ออ้างที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐเตรียมก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายทำลายพระศาสนา ก็ไม่ใช่ เพราะเขาทำตามกฎหมาย ทำตามหมายจับ และหมายค้นที่ออกโดยศาลที่พิจารณาจากหลังฐานที่ยื่นไปให้พิจารณาตามเหตุผล และหากเข้าไปจับกุมก็เป็นการจับกุมผูัต้องหา คือ ธัมมชโยที่เชื่อว่ายังหลบหนีอยู่ในวัดพระธรรมกาย ก็เหมือนกับที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่กล่าวว่าหากมีการสวดมนต์ก็สวดไป แต่หากมีการขัดขวางการจับกุมก็ต้องถูกดำเนินคดี หากไม่ดำเนินการเจ้าหน้าที่ก็ความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เชื่อว่าหากดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือ จะมีการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นเพื่อบิดเบือน มีเจตนาเพื่อให้มีการยื้อเวลาออกไปอีก แต่หากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงเชื่อว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว และนั่นก็ต้องมีคดีใหม่เกิดขึ้นอีก
ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เชื่อว่างานนี้น่าจะเอาจริง เพราะหากมีการเคลื่อนไหวเป็นการใหญ่แบบนี้ แต่ยังไม่มีการจับกุมมันก็ย่อมเสียหายป่นปี้ กระบวนการยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาใช้อ้างอิงกันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น มันก็เหมือนกับธนูที่น้าวออกไปจนสุดแขนต้องปล่อยออกไป เชื่อว่า ถอยกลับที่ตั้งไม่ได้ ต้องเดินหน้า เพียงแต่ว่าอาจต้องรอจังหวะเพื่อให้มั่นใจที่สุดเท่านั้นเอง !!