พังงา /สุราษฎร์ธานี - คลื่นสูงกว่า 2 เมตร พัดเสาไฟฟ้าแรงสูงเชื่อมระหว่างบ้านน้ำเค็ม-เกาะคอเขา โคนล้มลงทะเล ส่งผลทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเกาะ ล่าสุด เจ้าหน้าที่ซ่อมแซมสามารถปล่อยประแสไฟใช้ได้ตามปกติ พร้อมวางแผนระยะยาวทำเป็นประภาคารเปลี่ยนสายเคเบิลใต้น้ำใหม่ ขณะที่น้ำท่วมสุราษฎร์ฯ ชาวบ้านบางส่วนยังได้รับความเดือดร้อน หลายหน่วยงานเข้าช่วยเหลือ ขณะที่ผู้เสียชีวิตมีสูงถึง 5 คน
จากกรณีเกิดเมื่อคืนที่ผ่านมา คลื่นขนาดใหญ่พัดเสาไฟฟ้าขนาด 14 เมตร ที่เชื่อมระหว่างบ้านน้ำเค็ม-เกาะคอเขา หักโคนลงในทะเล และอุปกรณ์หัวเสาชำรุด 3 ต้น ทำให้ชาวบ้านกว่า 728 หลังคาเรือน โรงแรม รีสอร์ตกว่า 10 แห่ง บนเกาะคอเขา ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยหลังเกิดเหตุ นายสุดจิตร ลิ่มพานิช กำนันเกาะคอเขา นายนิวัฒ ส่งแร่ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 เกาะคอเขา นายสุเทพ เชตวรรณ์ รองผู้จัดการฝ่ายบริหารการไฟฟ้า พร้อมเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาตะกั่วป่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมนำรถเจาะเสาไฟฟ้า อุปกรณ์เสาไฟฟ้าเปลี่ยนเสาไฟฟ้าต้นใหม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ต้องทำงานด้วยความยากลำบากเนื่องจากคลื่นแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.30 น.วันนี้ (14 ธ.ค.) นายพรเทพ เพชรมีศรี ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอตะกั่วป่า กล่าวว่า การซ่อมแซมเปลี่ยนเสาไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องทำงานกันตลอดทั้งคืน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง จึงถึงขณะนี้สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าให้ชาวบ้านกว่า 728 ครัวเรือน โรงแรม รีสอร์ตกว่า 10 แห่งใช้งานได้ตามปกติแล้ว โดยขณะนี้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ได้มีแผนในการปรับปรุงระบบจำหน่ายในตำบลเกาะคอเขา ใน 3 ระยะ ซึ่งทำกำแพงกั้นเสาไดซับโพน
ส่วนระยะกลางในการทำฐานลากเสาไฟฟ้าที่จะปักษ์ลงพื้นทรายแต่ก็ไม่ได้ผลเนื่องจากน้ำทะเลกัดเซาะทำให้เสาล้ม แต่ขณะนี้ทางทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ ได้ออกแบบเป็นฐานประภาคาร และน้ำเสาปักลงไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดซองสอบราคาเพื่อหาผู้รับเหมาที่จะมาทำการก่อสร้าง ส่วนแผนในระยะยาวเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร โดยวางสายเคเบิลใต้น้ำใหม่ ซึ่งขณะนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะคอเขา ได้มอบพื้นที่ให้แล้ว และจะเดินสายเคเบิลไฟฟ้าไปขึ้นที่ท่าเรือที่อยู่ในเขตไฟฟ้า คาดว่าจะต้องรีบดำเนินการในช่วงไฮซีซันนี้ เพราะคลื่นลมไม่แรง คาดว่าจะทันในช่วงก่อนเข้ามรสุมในปีหน้าซึ่งอยู่ในระหว่างการว่าจ้างผู้รับเหมาโดยจะเริ่มดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด
ขณะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 อำเภอ ยังคงวิกฤต ล่าสุด ในเช้าวันนี้ (14 ธ.ค..) นายอุดม เพชรคุต ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี ได้นำเจ้าหน้าที่ออกสำรวจพื้นที่พร้อมนำเครื่องอุปโภคบริโภคออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยในชุมชนไทยทรงดำ หมู่ที่ 2 ตำบลกรูด อำเภอพุนพิน หลังได้รับอิทธิพลปริมาณน้ำจำนวนมากที่ไหลมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดกระบี่ลงแม่น้ำตาปี ส่งผลให้มีมวลน้ำจำนวนมากไหลหลากเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ระดับน้ำสูงกว่า 3 เมตร พร้อมเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมใน 17 อำเภอ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยรวมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นพื้นที่ลุ่มตลอดแนวแม่น้ำตาปี ยังมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรพื้นที่การเกษตร จำนวน 2 อำเภอ 6 ตำบล ที่ประกอบด้วย ตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม ตำบลตะปาน ตำบลกรูด ตำบลท่าสะท้อน ตำบลท่าข้าม และตำบลศรีวิชัย ของอำเภอพุนพิน ระดับน้ำในวันนี้ยังคงที่อยู่ที่ประมาณ 3 เมตรเศษ และคาดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปประมาณ 1 สัปดาห์แล้วจะค่อยๆ ลดระดับลงเนื่องจากขณะนี้มีน้ำทะเลหนุน ส่งผลมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 2,000 ครัวเรือน ซึ่งทาง ปภ.เขต 11 ได้นำสิ่งของเข้าแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้ว
ส่วนความเสียหายในเบื้องต้น จากเหตุอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มตั้งแต่วันที่ 2-13 ธันวาคม 2559 มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 17 อำเภอ 111 ตำบล 804 หมู่บ้าน 17 ชุมชนราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน 35,237 ครัวเรือน 119,488 คน บ้านพักอาศัยเสียหายบางส่วน 1,744 หลัง วัว 1 ตัว สัตว์ปีก 320 ตัว พื้นที่การเกษตร 7,734 ไร่ บ่อปลาเสียหาย จำนวน 443 บ่อ ถนนชำรุดเสียหาย จำวน 271 สาย สะพานชำรุด 30 แห่ง ฝาย 21 แห่ง ท่อระบายน้ำ 43 แห่ง วัด 2แห่ง มูลค่าความเสียหาย 165 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต จำนวน 5 ราย
ขณะที่เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่บนถนนบ้านดอนมะลิ ม.7 ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี นางสีนีนาฎ อินทร์นาค นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำทีมงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สุราษฎร์ธานี นำถุงยังชีพ จำนวน 700 ชุด แจกจ่ายผู้ประสบน้ำท่วมในพื้นที่ ม.7 ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน ม.2 ต.กรูด อ.พุนพิน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น เนื่องจากต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมขังอีกยาวนาน เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปลายน้ำรองรับน้ำจากที่อื่นก่อนไหลลงสู่แม่น้ำตาปี และไหลลงทะเลต่อไป
ด้าน พล.ต.วิชัย ทัศนมณเทียร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดี ส่งคณะแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายวิภาวดีรังสิต ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพให้กับชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการเครียดปวดหัว ความดันสูง นอนไม่หลับ มีบาดแผลจากของมีคมขณะขนย้ายทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วมไว้ที่สูง และโรคน้ำกัดเท้าที่ต้องแช่น้ำเป็นเวลานาน นอกจากนั้น คณะกาชาดสุราษฎร์ธานี พร้อมทีมแพทย์ทหารได้ลงเรือไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยอยู่บนบ้านชั้น 2 ที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำสูงประมาณ 2-3 เมตร โดยผู้สูงอายุไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่
จากกรณีเกิดเมื่อคืนที่ผ่านมา คลื่นขนาดใหญ่พัดเสาไฟฟ้าขนาด 14 เมตร ที่เชื่อมระหว่างบ้านน้ำเค็ม-เกาะคอเขา หักโคนลงในทะเล และอุปกรณ์หัวเสาชำรุด 3 ต้น ทำให้ชาวบ้านกว่า 728 หลังคาเรือน โรงแรม รีสอร์ตกว่า 10 แห่ง บนเกาะคอเขา ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยหลังเกิดเหตุ นายสุดจิตร ลิ่มพานิช กำนันเกาะคอเขา นายนิวัฒ ส่งแร่ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 เกาะคอเขา นายสุเทพ เชตวรรณ์ รองผู้จัดการฝ่ายบริหารการไฟฟ้า พร้อมเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาตะกั่วป่า ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมนำรถเจาะเสาไฟฟ้า อุปกรณ์เสาไฟฟ้าเปลี่ยนเสาไฟฟ้าต้นใหม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ต้องทำงานด้วยความยากลำบากเนื่องจากคลื่นแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.30 น.วันนี้ (14 ธ.ค.) นายพรเทพ เพชรมีศรี ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอตะกั่วป่า กล่าวว่า การซ่อมแซมเปลี่ยนเสาไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องทำงานกันตลอดทั้งคืน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง จึงถึงขณะนี้สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าให้ชาวบ้านกว่า 728 ครัวเรือน โรงแรม รีสอร์ตกว่า 10 แห่งใช้งานได้ตามปกติแล้ว โดยขณะนี้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ได้มีแผนในการปรับปรุงระบบจำหน่ายในตำบลเกาะคอเขา ใน 3 ระยะ ซึ่งทำกำแพงกั้นเสาไดซับโพน
ส่วนระยะกลางในการทำฐานลากเสาไฟฟ้าที่จะปักษ์ลงพื้นทรายแต่ก็ไม่ได้ผลเนื่องจากน้ำทะเลกัดเซาะทำให้เสาล้ม แต่ขณะนี้ทางทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ ได้ออกแบบเป็นฐานประภาคาร และน้ำเสาปักลงไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดซองสอบราคาเพื่อหาผู้รับเหมาที่จะมาทำการก่อสร้าง ส่วนแผนในระยะยาวเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวร โดยวางสายเคเบิลใต้น้ำใหม่ ซึ่งขณะนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะคอเขา ได้มอบพื้นที่ให้แล้ว และจะเดินสายเคเบิลไฟฟ้าไปขึ้นที่ท่าเรือที่อยู่ในเขตไฟฟ้า คาดว่าจะต้องรีบดำเนินการในช่วงไฮซีซันนี้ เพราะคลื่นลมไม่แรง คาดว่าจะทันในช่วงก่อนเข้ามรสุมในปีหน้าซึ่งอยู่ในระหว่างการว่าจ้างผู้รับเหมาโดยจะเริ่มดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด
ขณะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 อำเภอ ยังคงวิกฤต ล่าสุด ในเช้าวันนี้ (14 ธ.ค..) นายอุดม เพชรคุต ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานี ได้นำเจ้าหน้าที่ออกสำรวจพื้นที่พร้อมนำเครื่องอุปโภคบริโภคออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยในชุมชนไทยทรงดำ หมู่ที่ 2 ตำบลกรูด อำเภอพุนพิน หลังได้รับอิทธิพลปริมาณน้ำจำนวนมากที่ไหลมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดกระบี่ลงแม่น้ำตาปี ส่งผลให้มีมวลน้ำจำนวนมากไหลหลากเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ระดับน้ำสูงกว่า 3 เมตร พร้อมเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมใน 17 อำเภอ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยรวมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นพื้นที่ลุ่มตลอดแนวแม่น้ำตาปี ยังมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรพื้นที่การเกษตร จำนวน 2 อำเภอ 6 ตำบล ที่ประกอบด้วย ตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม ตำบลตะปาน ตำบลกรูด ตำบลท่าสะท้อน ตำบลท่าข้าม และตำบลศรีวิชัย ของอำเภอพุนพิน ระดับน้ำในวันนี้ยังคงที่อยู่ที่ประมาณ 3 เมตรเศษ และคาดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปประมาณ 1 สัปดาห์แล้วจะค่อยๆ ลดระดับลงเนื่องจากขณะนี้มีน้ำทะเลหนุน ส่งผลมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 2,000 ครัวเรือน ซึ่งทาง ปภ.เขต 11 ได้นำสิ่งของเข้าแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้ว
ส่วนความเสียหายในเบื้องต้น จากเหตุอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มตั้งแต่วันที่ 2-13 ธันวาคม 2559 มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 17 อำเภอ 111 ตำบล 804 หมู่บ้าน 17 ชุมชนราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน 35,237 ครัวเรือน 119,488 คน บ้านพักอาศัยเสียหายบางส่วน 1,744 หลัง วัว 1 ตัว สัตว์ปีก 320 ตัว พื้นที่การเกษตร 7,734 ไร่ บ่อปลาเสียหาย จำนวน 443 บ่อ ถนนชำรุดเสียหาย จำวน 271 สาย สะพานชำรุด 30 แห่ง ฝาย 21 แห่ง ท่อระบายน้ำ 43 แห่ง วัด 2แห่ง มูลค่าความเสียหาย 165 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต จำนวน 5 ราย
ขณะที่เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่บนถนนบ้านดอนมะลิ ม.7 ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี นางสีนีนาฎ อินทร์นาค นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำทีมงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สุราษฎร์ธานี นำถุงยังชีพ จำนวน 700 ชุด แจกจ่ายผู้ประสบน้ำท่วมในพื้นที่ ม.7 ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน ม.2 ต.กรูด อ.พุนพิน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น เนื่องจากต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมขังอีกยาวนาน เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปลายน้ำรองรับน้ำจากที่อื่นก่อนไหลลงสู่แม่น้ำตาปี และไหลลงทะเลต่อไป
ด้าน พล.ต.วิชัย ทัศนมณเทียร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดี ส่งคณะแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายวิภาวดีรังสิต ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพให้กับชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการเครียดปวดหัว ความดันสูง นอนไม่หลับ มีบาดแผลจากของมีคมขณะขนย้ายทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วมไว้ที่สูง และโรคน้ำกัดเท้าที่ต้องแช่น้ำเป็นเวลานาน นอกจากนั้น คณะกาชาดสุราษฎร์ธานี พร้อมทีมแพทย์ทหารได้ลงเรือไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยอยู่บนบ้านชั้น 2 ที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำสูงประมาณ 2-3 เมตร โดยผู้สูงอายุไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่