xs
xsm
sm
md
lg

คาร์บอมบ์ถล่มถี่ๆ ระวังต่างชาติรื้อ “ขยะใต้พรม” เอามารายงานผู้บริหารรัฐไทย / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
----------------------------------------------------------------------------------------
 
 
ระเบิดน้ำหนัก 200 กิโลกรัม ที่หน้าสหกรณ์รวมพลัง บ้านปิยามุมัง หมู่ที่ 3 ต.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อหัวค่ำคืนวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็น “คาร์บอมบ์” ที่ร้ายแรงอีกครั้งหนึ่ง ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ปฏิบัติการสร้างความรุนแรงในพื้นที่
 
แม้ว่าคาร์บอมบ์ลูกนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่สหกรณ์ และบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในบริเวณนั้นเป็นด้านหลัก แต่ไม่ได้สร้างความสูญเสียให้แก่ชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นโชคดีของคนในพื้นที่ตรงนั้น ที่ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์
 
ได้แต่หวังว่าระเบิดลูกนี้คงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อ “ภัยแทรกซ้อน” นั่นคือ การจับกุม “เนื้อหมู่ป่า” ที่ลักลอบน้ำเข้าประเทศไทยจากทางมาเลเซีย และถูกกำลังทหารชุดป้องกันภัยแทรกซ้อนจับกุมได้บนขบวนรถไฟสายใต้ ที่สถานีโคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อหลายวันก่อน
 
แม้ว่าหน่วยงานผู้จัดทำ “ดัชนีสันติภาพโลก” อย่าง “อีโคโนมิกส์ แอนด์พิช” จะทำการลดระดับความรุนแรงของการก่อการร้ายในประเทศไทย โดยจากอันดับที่ 10 มาอยู่ที่อันดับที่ 15 จากจำนวน 130 ประเทศในโลกที่เป็นประเทศที่มีการก่อการร้าย
 
ด้วยเหตุผลที่ว่า ในปี 2558 ที่ผ่านมา คนตายจากการก่อการร้ายในประเทศไทยเหลือไม่ถึง 100 คน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะนำการตายไม่ถึง 100 คนมาเป็นข้ออ้างว่าสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น
 
เพราะสาเหตุของการตายที่น้อยลงไม่ถึง 100 คน อาจจะเป็นเพราะว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายเปลี่ยนเป้าหมายจากการทำลายล้างชีวิตของ “พลเรือน” ไปเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นหลัก และในการก่อเหตุเน้นที่จะรักษาระดับความถี่ของการเกิดเหตุ มากกว่าเน้นในการประสงค์ต่อชีวิต เพราะเป้าหมายของ “บีอาร์เอ็น” วันนี้ได้ปรับยุทธศาสตร์ไปสู่ “งานมวลชน” เป็นหลัก ส่วนการสร้างความรุนแรงเป็นเพียงสร้างกับดักใน “งานด้านการทหาร” เท่านั้น
 
เพราะถ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นว่า ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเกิดขึ้นทุกวัน และที่สำคัญในปี 2559 ทีกำลังจะผ่านไปนั้น คาร์บอมบ์ที่หายไปจากพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อยค่อนข้างจะนาน ได้เกิดขึ้นแบบถี่ๆ ทั้งในเขตเมือง และพื้นที่รอบนอก
 
เช่นเดียวกับคาร์บอมบ์ที่หน้าสหกรณ์บ้านปิยามุมัง ถ้าเป้าหมายเป็นสถานที่ราชการ ย่านการค้า หรือสถานที่อื่นๆ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะขนาดไหน
 
เพราะการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้ไม่ได้ยากเย็น ทุกพื้นที่มีจุดอ่อน มีช่องว่างเกิดขึ้น และกำลังเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่สามารถที่จะป้องกันเหตุร้ายได้ในทุกพื้นที่
 
เพราะการป้องกันการก่อการร้ายที่สำเร็จได้มาจาก “งานการข่าว” เป็นหลัก ถ้างานการข่าวเข้าไปไม่ถึงชั้นความลับของขบวนการ โอกาสที่จะทำการป้องกันการก่อเหตุร้ายได้สำเร็จแทบเป็นไปไม่ได้เลย
 
เช่นเดียวกับ “งานตั้งจุดตรวจ” ต้องมีความสัมพันธ์กับงานการข่าว เพราะหากไม่สัมพันธ์กันจุดตรวจที่มีอยู่ เป็นได้แค่ “เครื่องกีดขวาง” การจราจรเท่านั้นเอง
 
ต้องยอมรับว่า ในปี 2559 ที่กำลังจะผ่านไป เรายังตกอยู่ในวงจรของความรุนแรง และไม่มีพื้นที่ไหนที่เราจะบอกแก่ประชาชนได้ว่า เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และแม้กระทั่งในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างจะดีมากก็กลับมาสู่โหมดของความรุนแรงอีกครั้ง จากการวางระเบิดที่ อ.เทพาและ อ.จะนะ เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา แถมยังมีข่าวว่า “แนวร่วม” ในพื้นที่ยังมีแผนในการที่จะก่อเหตุร้ายต่อเนื่อง
 
ในขณะที่หน่วยข่าวความมั่นคงก็ยังมีข่าวร้ายอย่างต่อเนื่องในการเตือนให้เจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ป้องกันเหตุร้าย ในห้วงเวลาของการคาบเกี่ยวระหว่างปีเก่าผ่านไปกับช่วงปีใหม่กำลังจะมาเยือน เพราะแนวร่วมเตรียมที่จะก่อเหตุร้ายในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย
 
ทั้งหมดคือ สิ่งบอกเหตุให้รู้ว่า ณ วันนี้สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังตกอยู่ในวังวนเดิมๆ ซึ่งเป็นวังวนของการที่จะต้องอยู่กับเหตุร้าย โดยที่ไม่ทราบว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ก็ทำได้เพียงการจัดกำลังในการป้องกันแบบสุ่มๆ เพราะไม่มี “การข่าวที่ชัดเจน”
 
วิธีการแบบนี้เหนื่อย เสียกำลัง เสียงบประมาณ มองไม่เห็นชัยชนะ และที่สำคัญไม่รู้ว่า “ศัตรู” เป็นใคร อยู่ที่ไหน เพราะมองไม่เห็น
 
จะรู้อีกที่เมื่อเกิดความสูญเสีย และหลังจากนั้นเพียงชั่วขณะหน่วยข่าวก็จะบอกได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นใคร เป็นกลุ่มไหน มากันกี่คน แบ่งหน้าที่อย่างไร และสุดท้ายก็จะออกหมายจับคนร้ายชื่อเดิมๆ ที่มีหมายจับอยู่แล้ว เป็นการปิดสำนวน
 
ถ้าดูตามหมายจับก็จะพบสิ่งผิดปกติอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ คนร้ายที่เป็นชุดปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง เช่น วางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นส์ หาดใหญ่ ก็เป็นชุดเดียวกับที่วางระเบิดห้าง เซ็นทรัลเฟสติวัลบนเกาะสมุย หรือวางระเบิดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนก็เป็นคนพวกนี้ รวมทั้งการวางระเบิดใน 3 จังหวัดหลายๆ ครั้งก็เป็นพวกนี้อีกนั่นแหละ
 
ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่า ไอ้แนวร่วมพวกนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน แต่มันสุดยอดของการเป็นโจรจริงๆ เพราะมันใช้กำลังแค่ชุดเดียว แต่สร้างความสูญอย่างมหาศาล แถมทำเอาบรรดา “เสนาธิการ” “แม่ทัพ” และ “นายกอง” หัวปั่นไปตามๆ กัน เพราะจนถึงวันนี้ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
 
เช่นเดียวกับเรื่องพื้นที่ปลอดภัย หรือ “เซฟตี้โซน” ที่มีการผลักดันโดยภาคประชาชน ก็ยังเป็นเพียงเรื่องการพูดๆ กันไปบนโต๊ะประชุม ซึ่งเป็นแค่ “ฝันเปียก” มากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง เพราะเพียงแค่มีการประกาศว่า หมู่บ้านไหน หรืออำเภอไหนเป็น “พื้นที่สันติสุข” เท่านั้น หมู่บ้านนั้นก็กลายเป็น “พื้นที่กระสุนตก” โดยที่เจ้าหน้าที่ป้องกันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
 
วันนี้สภาพข้อเท็จจริงของจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คนของรัฐได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งที่ผู้ที่ออกมาโฆษณาชวนเชื่อเองก็รู้ว่า เรื่องจริงของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างไร แต่ก็ต้อง “ปกปิด” เอาไว้ เพราะถ้ามีใครกล้าพูดความจริง นั่นคือการ “ตบหน้า” ตนเอง
 
หน่วยงานรัฐอาจจะรับความจริงไม่ได้ และพยายามที่จะ “บิดเบือน” ให้ประชาชนหลงผิด ในขณะที่ประเทศต่างๆ ที่เป็น “มหาอำนาจ” ต่างรู้ความจริงมากกว่าผู้บริหารประเทศไทยที่นั่งอยู่ “บนหอคอยงาช้าง” ด้วยการฟังรายงานผิดๆ ถูกๆ จากพื้นที่
 
ในขณะที่มหาอำนาจหลายๆ ประเทศมีเจ้าหน้าที่ระดับ “หัวกะทิ” เก็บข้อมูลในพื้นที่ละเอียดยิบ แถมรู้ข้อมูล และปัญหาในพื้นที่มากกว่าผู้นำในพื้นที่ด้วยซ้ำ ล่าสุด เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา คนของสถานทูตประเทศที่ “พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” ก็มีนัดพบกับบุคคลต่างๆ เพื่อแสวงหาข้อมูล เพราะเขาไม่เชื่อมั่นว่า สิ่งที่รับรู้จากรัฐเป็นเรื่องจริง
 
วันนี้ “ขยะใต้พรม” ที่เราพยายามซุกแอบไว้ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ อาจจะถูกต่างชาตินำไปเปิดโปงให้เจ้าของประเทศได้รับทราบก็อาจจะเป็นได้
 
แฟ้มภาพ
 

กำลังโหลดความคิดเห็น