ย้อนอดีตชมพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงทดลองปืนกลติดเฮลิคอปเตอร์ที่ทรงคิดค้นขึ้น พร้อมเสด็จฯ ขึ้นบินทดลองยิงในบริเวณอ่าวไทย ด้วยความสนพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งในกิจการสรรพาวุธ ทั้งพระปรีชาสามารถในการค้นคิด ดัดแปลงอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่พสกนิกร และโดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ทั้งหลาย ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ นั้น ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งในกิจการสรรพาวุธ ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการค้นคิด ดัดแปลงอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากมาย อีกทั้งยังได้ทรงพระราชทานอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ที่ทรงแก้ไขเหตุติดขัดและข้อบกพร่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วให้แก่ทหาร และตำรวจ อยู่เนืองๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่สถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศ อยู่ในภาวะวิกฤตนั้น ได้ทรงใช้เวลาว่างจากพระราชภารกิจเสด็จพระราชดำเนินไปงานภายนอกทรงงานแก้ไขอาวุธยุทโธปกรณ์ที่บกพร่อง ซึ่งทรงได้มาจากข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้ได้ใช้อาวุธนั้นทำการสู้รบจนสิ้นชีวิต ทั้งนี้ โดยได้ทรงตรวจสอบสมรรถภาพของอาวุธนั้นๆ ด้วยพระองค์เอง ซึ่งในบางโอกาสก็ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารบกได้เข้าเฝ้าฯถวายคำแนะนำ ทั้งในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระราชวังไกลกังวล อย่างใกล้ชิด เพื่อการนี้เป็นที่แน่ชัดว่าใครได้ใช้ปืนที่ทรงแก้ไขนั้น
สำหรับพระราชภารกิจเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติทางวัตถุนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดซื้ออาวุธสำหรับข้าราชการ ทหาร และตำรวจ ที่ปฏิบัติราชการอยู่ชายแดนอีกด้วย โดยคราหนึ่งเมื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า เฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่ในภาคสนามนั้น ไม่มีอาวุธติดกับเครื่อง เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ธรรมดาสำหรับใช้ขนส่งทั่วไป เมื่อทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความคิดให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกรไปประดิษฐานสำหรับติดตั้งปืนกลติดกับตัวเฮลิคอปเตอร์ เพื่อให้นักบินสามารถยิงตรงไปทางด้านหน้าได้ด้วย
ภาพชุดนี้เป็นภาพเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2513 โดยหนังสือพิมพ์ในเวลานั้น รายงานข่าวว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระราชวังไกลกังวล หัวหิน ไปยังค่ายนเรศวร เพื่อทรงทดลองปืนกลติดเฮลิคอปเตอร์ที่ดำเนินการติดตั้งใหม่อีก 2 กระบอก โดยมี พ.ต.อ.พิชิต ลักษณาเวช ผู้บังคับการกองบินตำรวจ ได้รับเสด็จฯ จากนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง มี ร.ต.ท.ป้อมเพชร นาคธน เป็นนักบินที่ 1 และ ร.ต.ท.สมุทรชัย คุ้มประพันธ์ เป็นนักบินที่ 2
เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งได้บินขึ้นสู่เหนือบริเวณค่ายฝึกมฤคทายวัน เพชรบุรี และมุ่งหน้าออกนอกฝั่งทะเล ซึ่งมีทุ่นลอยเป็นเป้าให้ทรงทดลองยิง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงยิงปืนกลจากเครื่องบินเข้าสู่เป้าหมายได้ผลดีเกินคาด ปืนที่ทรงให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญทำการติดตั้งนี้ เป็นปืนที่มีสมรรถภาพสูงแบบ เอฟ.เอ็น.ของเนโต้ ขนาด 7.62 มม. ของเบลเยียม ยิงได้นาทีละ 1,000 นัด ระยะยิงไกลสุด 2,500 หลา หวังผลได้ 750 หลา ราคากระบอกละประมาณ 6,000 บาท
เฮลิคอปเตอร์ที่ติดปืนกลอากาศยานนี้ ยังสามารถติดเพิ่มได้อีก 2 กระบอก เพื่อให้ช่างเครื่อง หรือพลยิง ทำการสนับสนุน และเมื่อเครื่องบินลงสู่พื้นดินก็สามารถถอดออกจากฐานยิงติดตัว เข้าป่าเพื่อผลในการกวาดล้างข้าศึกได้อีกด้วย
ในการทรงทดลองยิงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งนี้กองทัพอากาศได้จัดส่งช่างอาวุธของกรมสรรพาวุธทหารอากาศ 4 นาย และมี พ.ท.ม.จ.กุมารดิศ ดิศกุล หัวหน้าแผนกโรงงานกองเครื่องช่างฝึก ศูนย์การทหารราบ ร่วมอยู่ในระหว่างทรงทดลองด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้สนพระทัยในเรื่องนี้มาตลอด และในคราวทรงทดลองยิงปืนกลอากาศติดเฮลิคอปเตอร์คราวสุดท้ายที่สัตหีบ ทรงยิงเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำในครั้งนั้น ทรงยิงจากปืนกลที่ติดข้างลำตัวเฮลิคอปเตอร์ หันปากกระบอกไปข้างหน้า เป็นการยิงด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งทรงมีพระประสงค์ที่จะให้นักบินเป็นผู้ยิงเอง แต่ในคราวนี้ ทรงให้ติดปืนกลประสิทธิภาพสูงเพิ่มที่ด้านข้างลำตัวเครื่องบินอีก หากแต่หันปากกระบอกปืนออกด้านข้าง เพื่อให้พลปืนทำการยิงส่ายไปมาได้โดยนักบินไม่ต้องรับภาระเอง ซึ่งผลของการทดลองครั้งนี้ได้รับความสำเร็จอย่างสูง
เมื่อทรงทดลองยิงปืนกลอากาศด้วยพระองค์เองเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงเสด็จฯ กลับถึงพระตำหนักเปี่ยมสุข เมื่อเวลา 18.30 น.”