ดร.โยธิน มานะบุญ
นักวิชาการอิสระ
นักวิชาการอิสระ
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้ ถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้วยบทความซึ่งจะได้นำเสนอเรื่องราวพระอัจฉริยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของพระองค์
คนไทยที่เกิดไม่ทันยุคสงครามเย็นน้อยคนนักที่จะทราบว่า หากไม่ด้วย พระบารมี ความกล้าหาญ และการทรงงานอย่างหนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชโอรสและพระราชธิดา ตลอดจนเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ประเทศไทยก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์เช่น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ตามทฤษฏี Domino ที่นักวิชาการและนักการเมืองในโลกตะวันตกคาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน
ในห้วงที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและจากภายนอกประเทศนั้น ภาพคุ้นตาของเหล่าพสกนิกรไทยคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเครื่องแบบทหารเสด็จเยี่ยมอาณาประชาราษฎร์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน อาสาสมัครที่ปฏิบัติหน้าอยู่ในพื้นที่สู้รบ ตลอดจนทรงงานในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศอยู่เสมอ
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ข้าราชการทหารและตำรวจทั้งหลายว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงให้ความสนพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งในกิจการสรรพาวุธ ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการค้น คิด ดัดแปลงอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย และใช้ราชการได้ดียิ่งขึ้นเป็นผลสำเร็จหลายรายการด้วยกัน อีกทั้งยังได้ทรงพระราชทานอาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่ทรงแก้ไขเหตุติดขัดและข้อบกพร่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วให้แก่ทหารและตำรวจอยู่เนืองๆ
ในห้วงเวลาที่สถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตนั้น ได้ทรงใช้เวลาว่างจากพระราชภารกิจเสด็จพระราชดำเนินไปงานภายนอกในตอนบ่าย ทรงงานแก้ไขอาวุธยุทโธปกรณ์ที่บกพร่อง ซึ่งทรงได้มาจากทหาร ตำรวจ ผู้ได้ใช้อาวุธนั้นทำการสู้รบจนสิ้นชีวิต ทั้งนี้โดยได้ทรงตรวจสอบสมรรถภาพของอาวุธนั้นๆ ด้วยพระองค์เองซึ่งในบางโอกาสก็ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารบกได้เข้าเฝ้าถวายคำแนะนำ ทั้งในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระราชวังไกลกังวลอย่างใกล้ชิด เพื่อการนี้เป็นที่แน่ชัดว่าใครได้ใช้ปืนที่ทรงแก้ไขนั้น ย่อมจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นายทหารของศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรีผู้หนึ่ง ซึ่งได้เคยถวายการรับใช้เมื่อทรงพระแสงปืน M-16 ที่สนามยิงปืนของศูนย์การทหารราบเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง พระแสงปืน M-16 อย่างมาก ปืนนี้มีข้อบกพร่องบางอย่างที่ไม่รู้กัน แต่ทรงรู้มาจากการที่ได้ทรงศึกษาจนสามารถพระราชทานคำแนะนำแก่ทหารได้
เรื่องปืน M-16 นี้ ในบทความ “พระเจ้าอยู่หัวกับตำรวจ” เขียนโดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร ตีพิมพ์ในนิตยสารโล่เงิน เดือนธันวาคม 2524 ก็ได้บันทึกไว้เช่นกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาสมรรถนะของปืน M-16 จนทรงมีความรู้อย่างละเอียดลึกซึ้ง งานอดิเรกที่ทรงโปรดในครั้งกระนั้นคือ การซ่อมปืน M-16 ที่ชำรุด เมื่อใช้งานได้แล้วก็พระราชทานให้นายทหารราชองครักษ์และนายตำรวจสำนัก นำไปแลกกับปืนที่ชำรุดตามหน่วยต่าง ๆ ในสนามเพื่อเอามาถวายให้ทรงซ่อมต่อไปอีก --- ข้อมูลจาก นิตยสารหลักไท ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2528
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในส่วนประกอบและการทำงานของปืน M-16 ถึงกับได้ทรงผ่าปืนชนิดนี้ออก เพื่อทรงศึกษากลไกและส่วนประกอบของปืน ต่อมาในไม่ช้าก็ทรงสามารถประกอบอาวุธปืนชนิดนั้นได้ด้วยพระองค์เอง เวลาเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วยตำรวจ และมีผู้ถวายรายงานว่า ปืนชนิดนั้นชำรุด และไม่สามารถซ่อมแซมได้ เพราะขาดเครื่องอะไหล่ และขาดช่าง ก็ทรงพระกรุณารับปืนเหล่านั้นไป และทรงซ่อมด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การได้ดีอยู่ของปืนกระบอกหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ ปืนที่เสียหลายกระบอกจึงกลายเป็นปืนที่กลับดีขึ้นมาอีก
เกี่ยวกับอาวุธปืนนี้ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ ทรงสนพระราชหฤทัย เสด็จเยี่ยมหน่วยทหารตำรวจ (โดยเฉพาะศูนย์การทหารราบและค่านเรศวร) คราวใด คราวนั้นก็มักจะเสด็จฯ ทอดพระเนตรการฝึกซ้อมยิงปืน และบางครั้งก็ทรงยิงปืนในสนามด้วย ในโอกาสเดียวกันนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทูลกระหม่อมชาย และทูลกระหม่อมหญิง ฝึกซ้อมยิงปืนชนิดต่างๆ ด้วย พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ นั้น ทรงปืนได้แม่นยำทั้งสองพระองค์
เมื่อทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยในการยิงปืนนั้น สนามยิงปืนของค่ายนเรศวรยังไม่คุ้นเคยกับฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความสะดวกในการทรงปืนจึงได้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความปลอดภัยจากราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ผมเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ถวายด้วย ค่ำวันหนึ่งเมื่อเสด็จฯ ไปถึงสนามยิงปืนของค่ายนเรศวร เจ้าหน้าที่เตรียมการถวายเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปืน พระแสงปืนที่ทรงในวันนั้นเป็นแบบปืนเล็กกลแบบ M-16 พอทรงยิงไปได้หนึ่งชุด ผมซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าถวายก็ออกวิ่งไปดูที่เป้าที่เพิ่งจะทรงยิง และเห็นด้วยความไม่ประหลาดใจอะไร (เพราะรู้อยู่แล้วว่าทรงปืนแม่น) ว่าไม่มีกระสุนนัดใดออกจากวงดำของเป้าไปเลยแม้แต่นัดเดียว ผมวิ่งกลับไปที่แนวยิง ถวายความเคารพ แล้วกราบบังคมทูลอย่างฉาดฉานว่า “ถูกหมดทุกนัด พระพุทธเจ้าข้า” มีพระราชดำรัสถามว่า ถูกกี่นัด? ผมไม่ได้นับจำนวนกระสุนที่ถูกเป้า แต่รู้ว่าแม็กซีนหรือซองกระสุนที่ใช้บรรจุกระสุนปืนสำหรับปืน M-16 รุ่นนั้นในสมัยนั้นบรรจุได้เต็ม 20 นัด จึงกราบบังคมทูลอย่างฉับพลันว่า “20 นัด พระพุทธเจ้าข้า” พระเจ้าอยู่หัวทรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรพระแสงปืนในพระหัตถ์ ทรงพลิกพระแสงไปมา 2-3 ตลบ แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นแย้มพระสรวล ก่อนที่จะตรัสว่า “ปืนกระบอกนี้วิเศษมาก บรรจุ 18 นัด แต่ยิงได้ถึง 20 นัด” --- จากหนังสือ รอยพระยุคลบาท หน้าที่ 35 โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงพระแสงปืน ณ อุโมงค์ยิงปืนของกรมสรรพาวุธทหารบกเป็นครั้งแรก ในโอกาสนั้น พลโท ทวิช เสนีวงศ์ ณ อยุธยา เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกในขณะนั้นได้ทูลเกล้าถวายพระแสงปืน และในคราวเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น ทรงจารึกพระปรมาภิไธยลงบนแผ่นศิลาอ่อน โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ประดิษฐานไว้ ณ อุโมงค์ยิงปืน เพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลแก่ ข้าราชการ และลูกจ้าง กรมสรรพาวุธทหารบกทั้งปวงสืบมาจนบัดนี้
“ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า เฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่สนามนั้น ไม่มีอาวุธติดกับเครื่องบิน เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ธรรมดาสำหรับใช้ขนส่งทั่วไป… เมื่อทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความคิดให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกร ไปประดิษฐ์ฐานสำหรับติดตั้งปืนกลติดกับตัว
พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงพระแสงปืนเล็กยาว M-16 ต่อเป้าหมายอันแม่นยำ ณ สนามทรงพระแสงปืน ค่ายธนะรัชต์ แสดงถึงพระลักษณะของความเป็น “ทหารชั้นเลิศ” แม้พระองค์ทรงอยู่ในฐานะจอมทัพ ก็หาได้ถือพระองค์ไม่ หากแต่ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงพระแสงปืนหลายครั้งด้วยความตั้งพระราชหฤทัย
นอกจากจากพระอัจฉริยภาพในเรื่องพระแสงปืนดังที่กล่าวมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชยังทรงพระปรีชาญาณเกือบทุกอย่าง แม้กระทั่งการต่อเรือรบโดยพระองค์ทรงนำประสบการณ์การต่อเรือใบและการแล่นใบ พระราชทานให้กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือได้ทำการต่อเรือรบเพื่อใช้ในราชการรวมสองครั้ง ครั้งแรกคือ เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.91 – ต.99 ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ ปี พ.ศ. 2511 และครั้งที่สองคือ โครงการจัดสร้างเรือตรวจเรือใกล้ฝั่งเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นโครงการของกองทัพเรือไทย ที่ต่อยอดมาจากโครงการก่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.91 – ต.99 (ครั้งแรก) โดยมีจุดเริ่มต้นจากพระราชกระแสรับสั่งแก่ผู้บังคับหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล และผู้เข้าเฝ้า ฯ ณ วังไกลกังวล เกี่ยวกับการใช้เรือของกองทัพเรือ ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2545 ความว่า “เรือรบขนาดใหญ่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานสูง กองทัพเรือจึงควรใช้เรือที่มีขนาดเหมาะสม และสร้างได้เอง ซึ่งเมื่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91 ได้แล้ว ควรขยายแบบเรือให้ใหญ่ขึ้นและสร้างเพิ่มเติม” กับทั้งได้มีพระราชดำรัสในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงโดยได้ทรงยกตัวอย่างจากการพึ่งพาตนเองในโครงการต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91 ในอดีตของกองทัพเรือ กอปรกับในช่วงเวลานั้น กองทัพเรือได้มีแผนปลดประจำการเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.11 ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เนื่องจากใช้งานมานานประมาณ 40 ปีแล้ว กองทัพเรือจึงได้นำพระราชดำริฯ มาดำเนินการพัฒนาแบบเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดใหม่ ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน และสอดคล้องกับแนวพระราชดำรัสดังกล่าว โดยขยายแบบเรือจากชุดเรือ ต.91 – ต.99 ให้ใหญ่ขึ้น
กองทัพเรือได้รับอนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ให้ดำเนินโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดใหม่เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2546 เพื่อทดแทนเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.11 และรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กองทัพเรือดำเนินโครงการสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งพร้อมกัน 3 ลำ ในวงเงินรวมประมาณ 1,912 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการรวม 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 – 2550 เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550
ผู้บัญชาการกองทัพเรือ นำคณะนายทหาร เข้าถวายรายงานต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการดำเนินการต่อเรือ ต.991 ตามพระราชดำริ เพื่อมีพระราชวินิจฉัย โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ในวันดังกล่าวคือ
• TRIM เรือมีผลกระทบอย่างมากต่อความเร็วเรือ
• รูปทรงส่วนท้ายเป็น Planing ควรให้โค้งมน ต้องมีความทนทะเล คลื่นลมในอ่าวไทยมีลักษณะสับสน
• ความเร็วเรือที่เสนอน่าจะเหมาะสม
• ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง กำลังขับเคลื่อน ระยะปฏิบัติการ
• อุปกรณ์ช่วยการทรงตัว (Stabilizer)
• ความแข็งแรงของตัวเรือและความทนทาน ให้ใช้งานได้นาน
• ควรให้มีการติดตั้ง Spray Rail สำหรับการกระจายคลื่น
• การทำแบบจำลองเรือโดยใช้เทียนไข
• นำเรือเก่าที่จะไม่ใช้มาทดลองปรับปรุง
นับเป็นพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องการออกแบบอย่างแม่นยำและตรงประเด็น เพราะทรงรู้จักลักษณะคลื่นลมทะเลจากการทรงเรือใบ จึงให้คำนึงถึงน้ำหนัก และลักษณะท้องเรือเป็นพิเศษ
กล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยบุรุษ สมดั่งพระบารมีของพระองค์ท่าน ปกเกล้าปกกระหม่อมให้พระสกนิกรชาวไทยได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ให้ประเทศไทยคลาดแคล้วจากภัยพิบัติทั้งปวงมาตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า
ดร.โยธิน มานะบุญ
นักวิชาการอิสระ
ข้าพระพุทธเจ้า
ดร.โยธิน มานะบุญ
นักวิชาการอิสระ