ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - องค์การนักศึกษา และเครือข่ายนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี ยื่นหนังสือถึงสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้สอบวินัยอาจารย์ที่ทำ MOU ร่วมกับ กฟผ. กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
วันนี้ (10 พ.ย.) ที่สภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นายคอลดูน ปาลาเร่ อุปนายกกิจการภายนอกองค์การบริหารองค์การนักศึกษา และเครือข่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือ ผศ.ดร.วันวิสาข์ ธรรมานนท์ ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้สอบวินัยของ ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม ที่แอบอ้างนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งที่ทางมหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้มีนโยบายดังกล่าว
เนื่องด้วย ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร. อภิรดี แซ่ลิ่ม ได้ปรากฏอยู่ในงานพิธีการลงนามข้อตกลงงานบริการวิชาการระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือการทำ MOU ร่วมกันกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา อ.เทพา จ.สงขลา
นายคอลดูน ปาลาเร่ กล่าวว่า วันนี้ได้เดินทางมายื่นหนังสือ ผศ.ดร.วันวิสาข์ ธรรมานนท์ ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สอบวินัยของ ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม แอบอ้างนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปแสวงหาผลประโยชน์ โดยมีเลขา ผศ.ดร.วันวิสาข์ รับหนังสือแทน และทางเลขาฯ ได้แจ้งให้ทราบว่า จะรีบดำเนินการส่งหนังสือให้ทาง ผศ.ดร.วันวิสาข์ ได้รับทราบเรื่องโดยเร็ว และจะมาตามความคืบหน้าในอาทิตย์หน้า หากอาจารย์ที่มีชื่อให้ถูกสอบวินัยยังไม่แก้ไขตัวเอง ก็จะมีมาตรการณ์อื่นต่อไป เพราะการเป็นครูอาจารย์ต้องมีความรู้ ความสามารถ และเข้าใจบริบทของสังคม กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เป็นโครงการที่มีความขัดแย้งสูงมาก แต่อาจารย์ต้องมีความละเอียดอ่อนในการวางตัวเองแม้จะอ้างเหตุผลใดๆ
นายคอลดูน กล่าวถึงแถลงการณ์องค์การบริหารองค์การนักศึกษา และเครือข่ายนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี เนื่องด้วย ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร. อภิรดี แซ่ลิ่ม ได้ปรากฏอยู่ในงานพิธีการลงนามข้อตกลงงานบริการวิชาการ ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือการทำ MOU ร่วมกัน ซึ่งจากการสอบถาม รศ.อิ่มจิต เลิศพงษ์สมบัติ รองอธิการบดี วิทยาเขตปัตตานี และ รศ.ดร.ซุกรี หะยีสาแม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในวันที่ 8 พ.ย.2559 ได้รับการยืนยันจากทั้ง 2 ท่าน ว่าทางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีนโยบายที่จะทำ MOU ร่วมกับทาง กฟผ. และ รศ.ดร.ซุกรี ก็ได้ยืนยันเช่นกันว่าทางคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ไม่ได้มีคำสั่งใดๆ เกี่ยวกับการทำ MOU ร่วมกับ กฟผ.
แต่ในวันที่ 9 พ.ย.2559 ได้มีหนังสือจาก กฟผ. ออกมาว่า มีการลงนามข้อตกลงงานบริการวิชาการ ระหว่าง กฟผ. กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมี ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ เป็นผู้ลงนามเซ็น MOU ในครั้งนี้ การกระทำของ ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม นั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักปณิธานของพระราชบิดา ที่พวกเราทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ต่างก็ยึดถือ และเชื่อมั่นในคำปณิธานที่ว่า “ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ประโยชน์ส่วนตนเป็นกิจที่สอง” แต่ท่านทั้งสองกลับยึดถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม อีกทั้งยังแอบอ้างนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งที่ทางมหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้มีนโยบายดังกล่าว
จากการกระทำของท่านทั้งสองที่ร่วมมือกับ กฟผ.ทำการวิจัยนั้น ได้ส่งผลต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยไปในทางลบ เพราะพวกเราเชื่ออย่างเต็มอกว่า ท่านทั้งสองคงทราบดีถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ดังนั้น การที่ท่านรับทำงานวิจัยให้แก่ กฟผ. ไม่ได้ส่งผลดีต่อประชาชน อีกทั้งยังเพิ่มเชื้อไฟความขัดแย้งให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้ามากกว่าเดิม
การที่ท่านรับเงินทุนทำงานวิจัยจาก กฟผ. ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับชาวบ้าน ผลการวิจัยของท่านก็ย่อมเอื้อให้แก่แหล่งทุนที่ท่านรับเงินทำวิจัย ซึ่งขัดต่อหลักปณิธานของมหาวิทยาลัยอย่าสิ้นเชิง เพราะงานวิจัยของท่านนั้นย่อมสนองต่อความต้องการให้แก่กลุ่มทุน ไม่ใช้สนองความต้องการให้แก่ประชาชน
ดังนั้น พวกเรานักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ขอเรียกร้องให้ ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม คำนึงถึงจรรยาบรรณ และจริยธรรมของนักวิจัยที่ดี เพื่อไม่ให้การกระทำของท่านเป็นเชื้อไฟที่โหมกระพือในสภาวะความขัดแย้งนี้
ทั้งนี้ ทางนักศึกษาขอเรียกร้องให้ทางต้นสังกัดของ ผศ.ดร.ศราวุธ และ ผศ.ดร.อภิรดี คือ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สอบวินัยของ ผศ.ดร.ศราวุธ เจ๊ะโส๊ะ และ ผศ.ดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม และพิจารณาถึงบทบาทจรรยาบรรณ จริยธรรมของนักวิจัย และนักวิชาการที่พึงมี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย และเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างมหาวิทยาลัย กับชุมชน
สุดท้ายนี้ ประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ขนาด 2,200 เมกะวัตต์ ล้วนแล้วเป็นบิดามารดา และญาติพี่น้องของเหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และพวกเรานักศึกษาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาคมชาว ม.อ. ทั้งนักศึกษา บุคลากร และคณาจารย์ ต่างก็ยึดถือหลักปณิธานของพระราชบิดาผู้ก่อตั้งที่ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
