ตรัง - นายชวน หลีกภัย ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โชว์พระบรมฉายาลักษณ์ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” ที่ตนเองได้เก็บสะสมไว้ตั้งแต่ปี 2512 และภาพวาดลายเส้นที่วาดจากพระองค์จริง เมื่อครั้งถวายงานในปี 2540 ด้วยความซาบซึ้งหาที่สุดมิได้
วันนี้ (8 พ.ย.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดบ้านพักเลขที่ 183 ถนนวิเศษกุล ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง เพื่อโชว์พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้เก็บสะสมไว้ตั้งแต่ปี 2512 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเคยมีโอกาสถวายงานในหลวงมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย ได้ติดตามไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่พระทัยกับทุกเรื่อง แม้บางเรื่องนึกไม่ถึงว่าพระองค์จะใส่พระทัย พร้อมยังโชว์ภาพวาดลายเส้นที่วาดจากพระองค์จริง เมื่อครั้งถวายงานในหลวงในปี 2540 ซึ่งต่อมา มีการนำภาพดังกล่าวไปใช้ในงานข่าว นิตยสาร และสื่อต่างๆ มากมาย
โดย นายชวน ได้เล่าว่า เมื่อครั้งตนเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ในหลวงทรงถามถึงอาการป่วยของมารดา คือ คุณแม่ถ้วน หลีกภัย ซึ่งตนดีใจมาก และนำไปบอกแม่ แต่แม่บอกว่าอย่าไปรบกวนพระองค์ เพราะมีงานหนักมากพออยู่แล้ว แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ส่วนตนซึ่งเคยถวายงานในหลวงมานับครั้งไม่ถ้วน ได้ยินมาว่า หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว มีประชาชนจำนวนมากไม่เคยรับทราบถึงพระราชกรณียกิจที่หนักหน่วงของพระองค์ตลอดระยะเวลา 70 ปี แต่เพิ่งมารู้จากสารคดีต่างๆ ที่นำออกมาเผยแพร่ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพระองค์เติบโตมาในประเทศที่พัฒนาแล้ว และมาเริ่มนับหนึ่งในประเทศด้อยพัฒนา จนทำให้โครงการพระราชดำริจากโครงการที่ 1 ถึง 4,000 กว่าโครงการสำเร็จลงได้
ที่สำคัญคือ พระองค์ทรงเลี้ยงปลานิล ที่มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ส่งมาถวายเมื่อปี 2508 จนปัจจุบันกลายเป็นอาชีพหลักของคนไทยทั่วประเทศ และเหตุที่ประเทศไทยไม่ล้มเหมือนโดมิโน ตามที่บางประเทศพยากรณ์เอาไว้ ก็เพราะคนไทยไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อสถานะของในหลวงได้ ซึ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการที่ในหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจให้แก่บ้านเมือง โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม และเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวในโลกที่ทรงปฏิบัติจริง แต่ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำผิดได้ แต่พระองค์ไม่เคยทำผิด และยังเป็นนักปราชญ์ที่ทรงผูกพันกับประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้ตนเองสุดซาบซึ้ง และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้