xs
xsm
sm
md
lg

ปลาทะเลไทยหายไปไหน??? / บรรจง นะแส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
โดย... บรรจง  นะแส  สมาคมรักษ์ทะเลไทย
----------------------------------------------------------------------------------------
 
 
ผมไม่แน่ใจว่าจะมีประเทศไหนสักกี่ประเทศ ที่มีพื้นที่ทำเลที่ตั้งจะเหมาะสมเท่าประเทศไทย ในแง่ของปัจจัยที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ “อาหาร”
 
เรามีที่ราบในภาคกลางที่เหมาะสำหรับการปลูกข้าว ทำให้คนไทยมีข้าวกินเหลือส่งออกอย่างเหลือเฟือ มีแหล่งน้ำจืดกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ มีทะเลขนาบทั้งสองฝั่งที่มีความยาวไม่ต่ำกว่า 2,600 กิโลเมตร และตั้งอยู่ในเขตร้อนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) สูงสุด พันธุ์พืช/พันธุ์สัตว์ทั้งในน้ำ และบนบก จึงมีให้เป็นอาหารได้ทุกหนแห่ง
 
หลายปีมานี้เกิดวิกฤตเรื่องอาหารที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงเริ่มหายไปจากสังคมไทย ว่ากันเฉพาะพันธุ์สัตว์น้ำคือ “ปลา” ทุกตรอกซอกซอยพบแต่ปลานิล ปลาทับทิมเลี้ยง
 
ปลาทะเลหายไปไหน???
 
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจมาหลายสิบปี ผมมานั่งดูตัวเลขสถิติเก่าๆ ที่ผ่านมาเมื่อสิ้นปี 2550 พบตัวเลขดังนี้ครับ
 

 
และเมื่อมาดูข้อมูลเปรียบเทียบการบริโภคปลาในประเทศถึงปี พ.ศ.นี้ คิดว่าคนไทยบริโภคปลาไม่น่าจะเกิน 1 แสนตัน
 

 
แต่พอมาดูตัวเลขการส่งออกสินค้าประมงก็พบว่า ตัวหลักๆ คือ กุ้ง ซึ่ง 100% คือกุ้งเลี้ยง และปลาที่ส่งออกคือ ทูน่า ซึ่งไม่ใช่ปลาจากทะเลไทย
 
แล้วปลาทะเลไทยหายไปไหน???
 

 
ผมพบว่า ปลาจากทะเลได้หายไปจากทะเลไทยนานมากแล้ว ปลาทู ที่พูดกันว่าคืออาหารหลักของคนไทย ก็หายไปจากสังคมไทยโดยรวม มีอยู่บ้างตามพื้นที่ชุมชนประมงชายฝั่ง แต่มีไม่มากพอที่จะส่งไปให้คนไทยทั่วทุกภูมิภาคของประเทศดังเหมือนแต่กาลก่อน
 
ปลาทูที่มีอยู่ หรือแม้แต่ปลาทะเลอีกหลายชนิด ล้วนนำเข้าจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น!!!
 
คำถาม “ปลาทะเลไทย” หายไปไหน??? จึงก้องวนอยู่ในหัวสมองตลอดเวลา
 

 
ผมถึงบางอ้อเมื่อพบว่า ตัวเลขการบริโภคปลาจากทะเลไทยของคนไทยจริงๆ แล้วก็คือ การนำปลาที่จับได้ในน่านน้ำไทยคือ กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ถูกนำมาแปรเป็น “ปลาป่น” เป็นส่วนใหญ่
 
เพราะกุ้งหอยปูปลาขนาดใหญ่ที่มีจำนวนดังกล่าว ไม่ได้มีอยู่จริงในตลาดของสังคมไทย มีแต่ปลานิล ปลาทับทิม หรือปลาดุกเลี้ยงเป็นหลัก
 
จึงสรุปได้ว่า “ธุรกิจปลาป่น” คือ ตัวหลักที่ทำให้กุ้งหอยปูปลาสำหรับผู้บริโภคหายไปจากสังคมไทย
 
วันนี้ประเทศไทยมีโรงงานปลาป่น 80 โรง ผลิตปลาป่นได้ปีละประมาณ 5 แสนตัน ซึ่งเป็นปลาป่นที่ทำจากพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนที่จับขึ้นมาด้วยอวนลากประมาณ 2.5 แสนตัน ปลาป่น 1 กิโลกรัมต้องใช้ลูกกุ้งหอยปูปลาประมาณ 4 กิโลกรัม
 
ปลาป่น 2.5 แสนตันในแต่ละปีก็คือ การทำลายลูกกุ้งหอยปูปลาในทะเลไทยไปปีละ 1 ล้านตัน
 
หากไม่ทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อนชนิดต่างๆ ไปก่อนวัยอันควร คนไทยจะได้บริโภคสัตว์ทะเลประมาณ 2 แสนตัน/ปี เรายังมีกุ้งหอยปูปลาส่งออกได้ถึง 8 ตัน/ปี
 
เอากุ้งหอยปูปลาตัวโตๆ มาทำปลาป่นก็ยังเหลือเฟือสำหรับการบริโภค??!!
 
นี่คือหลักฐานการส่งออกปลาป่นของประเทศไทย
 

 
เราปล่อยให้มีการทำการประมงด้วยเครื่องมือทำการประมงแบบทำลายล้างชนิดรุนแรงอย่างอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟมาอย่างยาวนาน เราปล่อยให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ใช้ทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญของสังคมไทย เป็นเพียงแหล่งวัตถุดิบของอุตสาหกรรมเหล่านั้นมานานวัน จนผู้คนในสังคมขาดแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติที่เราเคยมี อาหารทะเลกลายเป็นสินค้าบริโภคสำหรับชนชั้นสูงที่มีอำนาจซื้อ
 
เราปล่อยให้อุตสาหกรรมอาหารกลายเป็นธุรกิจที่ผูกขาด สำหรับคนที่มีอำนาจซื้อตามคุณภาพของอาหารในเกรดที่แตกต่างกันไปของผู้คนในสังคม ทั้งๆ ที่สังคมของเรามีฐานทรัพยากรทางอาหารมากมาย หากเรารักษาไว้ และทำให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงง่าย ปรากฏการณ์ของความอดอยากยากจนก็จะไม่รุนแรงเหมือนที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนี้
 
หยุด “อวนลาก” หยุด “เรือปั่นไฟ” หยุด “อุตสาหกรรมปลาป่น” แล้วกุ้งหอยปูปลาในทะเลไทยก็จะกลับมา.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น