คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
ด้วยใจจริงตั้งใจว่าจะนำเรื่องดีๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการดับไฟใต้มานำเสนอผู้อ่านสักตอน 2 ตอน เช่น ข่าวความคืบหน้าของ “ความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย” ซึ่งที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายเสื่อมโทรมลงตามลำดับตั้งแต่เกิด “คดีโจรกรรมเพชร” จากฝีมือของ “เกรียงไกร เตชะโม่ง” รวมถึง “คดีฆ่า 3 นักการทูตซาอุดีอาระเบีย” ที่ไม่คืบ อันเป็นการตอกย้ำให้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศทรุดหนักกว่าเดิม
แต่การพบกันระหว่าง “เจ้าชายคอลีฟะ บินซัลมาน อัลคอลีฟะห์” นายกรัฐมนตรีแห่งอาณาจักรบาห์เรน “อเดล อัล-จูเบอีร์” รัฐมนตรีต่างประเทศราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย กับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ในการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระสำคัญที่เป็นด้าน “บวก” ต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย
แต่ “สื่อไทย” กลับให้ความสนใจในเรื่องนี้น้อยมาก จึงทำให้สังคมไทยไม่ทราบถึง “ข่าวดี” ซึ่งผู้เขียนตั้งใจว่าจะนำเรื่องดีๆ ตรงนี้มาเล่าให้ได้รับรู้
เผอิญว่า เมื่อคืนวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ก่อเหตุร้ายแบบ “รวมดารา” อีกครั้งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยครั้งนี้มี “สงขลา” เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของ “แนวร่วม” ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจพ่วงเข้าไปด้วย ดังนั้น เรื่องดีๆ ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียจึงต้องงดไว้ก่อนชั่วคราว เพราะเชื่อว่าผู้อ่าน โดยเฉพาะ “คนในพื้นที่” สนใจในเรื่องที่ใกล้ตัว ซึ่งคาบเกี่ยวกับความเป็นความตายของเขามากกว่า
หลังการก่อเหตุใน 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และสงขลา เมื่อคืนวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา “บรรดากูรู” การเมือง และความมั่นคงต่างฟันธงว่า เป็นการก่อเหตุเพื่อต้อนรับ “ครม.ส่วนหน้า” ที่นำโดย พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม ที่นำคณะล่องใต้ไปประชุมอยู่ในค่ายทหารใน จ.ปัตตานี
อีกทั้งก็มีบางส่วนของกูรูบอกกว่า เป็นการให้คำตอบแก่ พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ที่ไปพูดคุยกับ “กลุ่มมาราปาตานี” ในเรื่อง “พื้นที่ปลอดภัย” ซึ่งการก่อเหตุร้ายใน 3 จังหวัดครั้งนี้คือ จึงคำตอบที่ให้ข้อ “ยุติ” ในเรื่องของเซฟตี้โซนโดยไม่ต้องรอฟังผลบนโต๊ะเจารจา
แต่ในฐานะของคนทำข่าว และเก็บข้อมูลในพื้นที่มาหลายสิบปี เชื่อว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 2 พฤศจิกายนนั้น มีการเตรียมการเป็นอย่างดี ไม่ใช่พอรู้ว่า พล.อ.อุดมเดช จะลงมาประชุมก็ก่อเหตุได้ในทันที และในคืนวันนั้นแม้ พล.อ.อุดมเดช จะไม่มาชายแดนใต้ เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นเช่นเดิม
เนื่องเพราะเป็นการก่อเหตุที่ “บีอาร์เอ็น” มีการเตรียมการ เตรียมคน และเตรียมแผนไว้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ “เงื่อนไข” อะไรที่ทำให้แนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นก่อเหตุพร้อมๆ กันในหลายๆ อำเภอในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว
ซึ่งถ้าจะให้ไล่เรียงด้วยเหตุ ด้วยผล และมีการเรื่องของ “การข่าว” ที่เชื่อได้เป็นองค์ประกอบ ก็จะเห็นว่าหลังเกิดเหตุ “วิสามัญกลุ่มแนวร่วม 4 ศพ” ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา สิ่งที่ติดตามมาคือ “วางระเบิดตลาดโต้รุ่งในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี” ซึ่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนใจ มีทั้งคนเจ็บ คนตาย และคนพิการ ก่อนจะตามมาด้วยการ “ปลิดชีพครู กศน.” ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ตาย 1 เจ็บ 1 ตามที่ได้รับรู้กันทั่วไปทั้งจากหน้าสื่อต่างๆ และจาก “ใบปลิว” ที่มีการทิ้งไว้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และบอกถึงสาเหตุของการปฏิบัติการ
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ “ปิดล้อมที่พักพิงแนวร่วม” ระดับปฏิบัติการ และเกิดการ “วิสามัญ มะหามะ แมเร๊าะ” ขึ้นอีก พร้อมทั้งจับกุมผู้ต้องสงสัยไปจำนวนหนึ่งในงานฝังศพของ “มะ แมเร๊าะ” ส่งผลให้ชาวบ้าน รวมทั้งการข่าวของเจ้าหน้าที่รู้เห็นกันทั่วว่า “อัมรัล แมเร๊าะ” รวมทั้ง “แกนนำ” บีอาร์เอ็นมีการประกาศที่จะ “เอาคืน” ภายในเวลา 7 วัน
อันตรงกับ “การแจ้งเตือน” ของหน่วยงานความมั่นคงให้มีการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการวิสามัญ มะ แมเร๊าะ เพียงแต่ “สายข่าว” วิเคราะห์ด้วยการนำเอาสิ่งที่เคยเป็น เคยเกิดในทุกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียมาแจ้งเตือน แต่ไม่สามารถ “เข้าถึง” ข่าวที่แท้จริงว่าแนวร่วมจะก่อเหตุวันไหน เวลาเท่าไหร่ และเป้าหมายคือบุคคล หรือสถานที่ได้ การป้องกันจึงเป็นการกำหนดพื้นที่ กำหนดเป้าหมายกันเองด้วยการ “คาดการณ์” มากกว่าการได้มาซึ่ง “ข่าว” จาก “วงใน”
จะสังเกตได้ว่า การก่อเหตุครั้งนี้แนวร่วมได้เลือกพื้นที่ จ.ปัตตานี จ.นราธิวาส และ จ.สงขลา เป็นที่ก่อเหตุร้าย ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ติดถนนใหญ่สายหลัก คือ สายนราธิวาส-ปัตตานี-สงขลา เกือบทั้งหมด โดยกำหนดเป้าหมายเป็นร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี บริเวณสี่แยกพระพุทธ อ.เทพา จ.สงขลา ตรงข้ามจุดตรวจ และจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งถือเป็น “ชุมชน” เช่นเดียวกับในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา แนวร่วมเลือกที่จะก่อเหตุห้างเทสโก้ โลตัส และโชว์รูมบริษัทอีซูซุ
เป็นการโจมตีเป้าหมายที่ต้องถือว่าอยู่เหนือการ “คาดหมาย” เพราะธุรกิจเหล่านั้นเป็นธุรกิจที่มีคนดูแล และเชื่อว่ามี “ความปลอดภัยสูง” จึงอยู่นอกเหนือแผนการป้องกันของหน่วยงานความมั่นคง เช่นเดียวกับการวางระเบิดเสาไฟฟ้าก็เป็นเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ป้องกันไม่ได้เช่นกัน
ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ “ภัยแทรกซ้อน” เพราะก่อนหน้านี้ ไม่มีการจับยาเสพติดรายใหญ่ ไม่มีการจับน้ำมันเถื่อน ไม่มีการจับบ่อนการพนัน หรือไม่มีปฏิบัติการที่สร้างความเสียหาย และความโกรธแค้นให้แก่ “ขบวนการอิทธิพล” ในพื้นที่ แต่เป็นการก่อเหตุของแนวร่วมบีอาร์เอ็นล้วนๆ โดยมีเป้าหมายทำลายธุรกิจการค้า และผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อ “ล้างแค้น” ให้แก่ผู้ที่ถูกจับกุม และถูกวิสามัญของฝ่ายตนเอง
สำหรับที่นี่ไม่ปฏิเสธในการวิสามัญ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ หรือเป็นแนวร่วม หากมีการต่อสู้ และขัดขืนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการจับกุม การวิสามัญ เป็นวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และช่วยให้สถานการณ์การก่อเหตุน้อยลง เพราะจำนวนคนร้ายที่ลดจำนวนลงไป
แต่เมื่อมีการวิสามัญ มีการจับกุม หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมีแผนในการคุ้มครองประชาชน คุ้มครองสถานต่างๆ ที่ให้ปลอดภัยการ “การเอาคืน” ของขบวนการ หรือเมื่อมีการจับกุม มีการวิสามัญเกิดขึ้น รัฐต้องทำการเปิดเกมรุกเพื่ออย่าให้ขบวนการมีพื้นที่ในการ “ปฏิบัติการล้างแค้น” ด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ
มีสิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตต่อการก่อเหตุหลายๆ ครั้งในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้คือ แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังมี “ความสมบูรณ์” ของกระบวนการก่อการร้าย ซึ่งมีความพร้อมที่จะปฏิบัติการในทุกพื้นที่ หากพวกเขามีความต้องการ มีแผนปฏิบัติการทั้ง “รุก-ถอย-อำพราง-หลบหนี” ที่สมบูรณ์แบบ และที่น่าสนใจคือ มี “ฐานมวลชน” ในพื้นที่ให้การสนับสนุน
มากกว่านั้นคือ ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เพทา นาทวี และสะบ้าย้อย เวลานี้ยังเป็นพื้นที่ทึ่แนวร่วมมีความพร้อมที่จะปฏิบัติการ ทั้งการก่อวินาศกรรม และการใช้อาวุธปืนยิงรายวัน ซึ่งหลังเกิดเหตุครั้งนี้ฝ่ายความมั่นคงของ จ.สงขลา จะต้องทำการวิเคราะห์เพื่อสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในอนาคต
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับสถานการณ์การก่อการร้ายของจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ หน่วยงานที่กุมอำนาจในการแก้ปัญหายัง “ไม่มีเอกภาพ” ของการมองปัญหา วันนี้ที่ชัดเจนคือ มี “ความเห็นต่าง” ของคน 2 ฝ่าย ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ และอยู่ในส่วนกลาง
ฝ่ายหนึ่งยังมองว่า “ศัตรูหมายเลข 1” ที่เป็นผู้สร้างปัญหามาจากเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งฟันธงว่า “ศัตรูหมายเลข 1” ที่แท้ก็คู่ต่อสู้หลัก นั่นคือ “บีอาร์เอ็น” เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายยังเชื่อไม่ตรงกัน เหมือนกับมองเห็นช้างกันคนละด้าน การแก้ปัญหาที่ถูกต้องจึงยังไม่เกิดขึ้น
สำหรับผู้เขียนเชื่อด้วยวิชาอาชีพ และเชื่อด้วยข้อมูลว่า “บีอาร์เอ็น” คือ “ศัตรูหมายเลข 1” ที่คอยทิ่มแทงทำร้ายแผ่นดิน และผู้คนในปลายด้ามขวาน และเชื่อมาก่อนที่ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย หรือ พล.อ.สกล ชื่นตระกูล 2 นายทหารใหญ่ที่เคยทำหน้าที่เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 มาก่อนจะ “ฟันธง” ไว้ในทิศทางเดียวกันด้วยซ้ำ
และยังเชื่ออีกว่า การที่จะกำชัยชนะใน “สงครามประชาชน” บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้ จะต้องเอา “บีอาร์เอ็น” เป็น “ศัตรูหมายเลข 1” และจะต้องทำ “งานการเมือง” ให้หนักกว่าที่บีอาร์เอ็นกำลังทำอยู่ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด