เอเจนซีส์ / MGR online - เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกลาโหมของซาอุดีอาระเบียเปิดใจผ่านสำนักข่าว “เปตรา นิวส์” ของรัฐบาลจอร์แดน โดยยอมรับเป็นครั้งแรกว่าราชอาณาจักรกลางทะเลทรายของพระองค์เป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 5 ของเงินที่นางฮิลลารี คลินตัน ใช้ในการหาเสียงชิงเก้าอี้ตัวแทนพรรคเดโมแครตในช่วงที่ผ่านมา และพร้อมเพิ่มการสนับสนุนอีกเพื่อส่งอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้นี้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป
บทสัมภาษณ์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกลาโหมของซาอุดีอาระเบีย ควบกับตำแหน่งมกุฎราชกุมาร ได้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสำนักข่าวรัฐบาลจอร์แดน โดยพระองค์ระบุว่าในความเป็นจริงแล้วซาอุดีอาระเบียคือผู้บริจาครายใหญ่ให้แก่ทั้งพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งเกือบทุกครั้งที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เจ้าชายโมฮัมเหม็ดกล่าวว่า ราว 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 5 ของเงินที่นางฮิลลารี คลินตัน ใช้ในการหาเสียงเพื่อชิงเก้าอี้ตัวแทนพรรคเดโมแครตในช่วงที่ผ่านมาเป็นเงินสนับสนุนที่นางคลินตันได้รับโดยตรงจากซาอุดีอาระเบีย แต่ไม่มีการเปิดเผยว่ายอดเงินบริจาคทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่าใด และขัดต่อกฎหมายสหรัฐฯ หรือไม่
ด้านแหล่งข่าวทางการทูตในกรุงอัมมานของจอร์แดนเปิดเผยว่า ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียพร้อมจ่ายเงินสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อส่งนางฮิลลารี คลินตัน เข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยง “ยุคแห่งความไม่แน่นอน” หากปล่อยให้โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากกล้าจากฝั่งรีพับลิกัน ได้เก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ ไปครอง
ในวันอังคาร (14 มิ.ย.) ทางเว็บไซต์ของสำนักข่าวเปตราได้ออกคำแถลงที่อ้างว่า เว็บไซต์ของตนถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ และว่ารายงานข่าวเรื่องบทสัมภาษณ์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านทางเว็บไซต์ของตนก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงข่าวที่ถูกกุขึ้น
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวชิ้นเดียวกันนี้กลับถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใหม่อีกครั้งผ่านเว็บไซต์ของสถาบัน Persian Gulf Affairs ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในเวลาต่อมา
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่มุมมองของนักวิเคราะห์ดังที่ประเมินว่า ซาอุดีอาระเบียและบรรดาประเทศเศรษฐีน้ำมันแถบอ่าวเปอร์เซีย ตั้งความหวังให้นางฮิลลารี คลินตัน ว่าที่ผู้สมัครตัวแทนพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ จากฟากฝั่งรีพับลิกัน ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำหญิงเมืองลุงแซมของฮิลลารีจะเป็นผลดีและช่วย “เอื้อประโยชน์ด้านพลังงาน” ให้แก่บรรดาชาติอาหรับมากกว่า
โรเบิร์ต แม็กนอลลี ประธานของบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน “Rapidan Group” ซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐฯ เป็นผู้ที่ออกมาเปิดเผยประเด็นนี้ต่อสื่อดังอย่าง “ซีเอ็นบีซี” เมื่อ 2 มิ.ย. ระหว่างเดินทางเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมของสมาชิกกลุ่มโอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries : OPEC) หรือกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกรายใหญ่ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย
“มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับดำมืดอีกต่อไปแล้ว เวลานี้บรรดาผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งในซาอุดีอาระเบียและรัฐอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซีย ต่างสวดภาวนาให้ฮิลลารี คลินตัน ได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของอเมริกา เพราะรัฐเศรษฐีน้ำมันฝ่ายสุหนี่เหล่านี้ไม่ต้องการเผชิญหายนะครั้งใหญ่จากนโยบายต่างประเทศและพลังงานภายใต้สโลแกน “อเมริกาต้องมาก่อน” ของโดนัลด์ ทรัมป์” แม็กนอลลีกล่าว
ประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน Rapidan Group ระบุว่า ไม่มีสมาชิกกลุ่มโอเปกชาติใดโดยเฉพาะในแถบอ่าวเปอร์เซียที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาแบบ “พลิกขั้ว” ภายในชั่วระยะเวลาเพียงแค่ข้ามคืน เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่ว่านี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในแถบอ่าวเปอร์เซียที่เต็มไปด้วยดินแดนที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันที่มีสัดส่วนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในรายได้ทั้งหมดของประเทศ
“คำถามหลักที่สมาชิกโอเปกหยิบยกกันมาหารือในเวลานี้ ไม่ใช่คำถามที่ว่าเมื่อใดราคาน้ำมันในตลาดโลกจะผ่านพ้นช่วงขาลงอีกต่อไป เพราะคำถามยอดฮิตที่คาใจผู้มีอำนาจในโอเปกที่สุดในยามนี้ คือ คำถามที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดน้ำมันและประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หากว่าชายที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป” แม็กนอลลีกล่าวเสริม
ตลอดระยะเวลาการหาเสียงที่ผ่านมา มหาเศรษฐีฝีปากกล้าจากนิวยอร์กอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตั้งคำถามมาโดยตลอด ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรัมป์เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องเลิกดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะในตะวันออกกลางเพื่อ “เอาอกเอาใจ” ซาอุดีอาระเบีย หวังแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ด้านพลังงานที่รัฐบาลริยาดห์จะมอบตอบแทนให้แก่วอชิงตัน
ไม่น่าแปลกใจว่า นโยบายของทรัมป์ที่ต้องการให้อเมริกา “เป็นอิสระ” ในด้านพลังงานและหลุดพ้นจากการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศจะสร้างความกังวลใจให้แก่ซาอุดีอาระเบียและรัฐอาหรับย่านอ่าวเปอร์เซียไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ประกาศชัดเจนระหว่างการหาเสียงที่มลรัฐนอร์ทดาโกตา ว่าเขาต้องการให้อเมริกาเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงในด้านพลังงาน ทั้งการเลิกนำเข้าน้ำมันจากนอกประเทศ และการหันมาขุดค้นสำรวจแหล่งพลังงานภายในประเทศตัวเองด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในทางกลับกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าหัวใจหลักในนโยบายต่างประเทศของนางฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง-อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นั้นยังคงมีซาอุดีอาระเบียและรัฐอาหรับในตะวันออกกลางเป็นแกนกลาง ยังไม่นับรวมกับกลุ่มผลประโยชน์ด้านพลังงานอีกนับไม่ถ้วนที่มีสายสัมพันธ์ยึดโยงกับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของเธอ ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ดูจะเป็นผลดีและเป็นที่ต้องการของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาหรับ ที่ไม่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วในวอชิงตัน หากทรัมป์ได้ครองอำนาจ
“พวกผู้มีอำนาจในซาอุฯและรัฐอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซียต่างเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถพูดคุยและต่อรองผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง และพลังงานกับฮิลลารี และบิล คลินตันได้ง่ายกว่าการพูดคุยกับทรัมป์” แม็กนอลลีกล่าวทิ้งท้าย