คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ก็เห็นชอบตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม อเสนอให้แต่ตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในนิยามใหม่ว่า “ครม.ส่วนหน้า” โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าคณะ และให้ใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร มณทลทหารบกที่ 46 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นที่ตั้งสำนักงาน
การตั้งหน่วยงานใหม่ครั้งนี้ ถ้าฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ทั้งที่เป็น “ปัจเจก” และที่เป็น “องค์กร” หรือหน่วยงาน “ภาครัฐ” และ “ภาคประชาสังคม” ในพื้นที่ ก็จะได้ยินสำเนียงที่แฝงไปด้วย “ความคาดหวัง” ว่า ครม.ส่วนหน้าที่ประกอบขึ้นด้วยบุคลากร 13 คน น่าจะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อ “ดับไฟใต้” เพื่อให้เกิดความร่มเย็นลงได้ในระดับหนึ่ง
ก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเพื่อดับไฟใต้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในผู้นำองค์กร ตั้งแต่ระดับ “แม่ทัพ” “เลขาธิการ ศอ.บต.” “ผบช.ศชต.” หรือแม้แต่ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” คนใหม่ ซึ่งทุกภาคส่วนในพื้นที่ต่างก็แอบหวังลึกๆ ว่า หน่วยงานใหม่ หรือผู้นำหน่วยคนใหม่จะต้องนำ “ความร่มเย็น” กลับคืนมา หรืออย่างน้อยก็น่าจะทำให้ไฟใต้ลดระดับความรุนแรง หยุดการตาย การบาดเจ็บ หรือหยุดการสูญเสียลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อไล่ดูรายชื่อของผู้ร่วมคณะ “ครม.น้อย” ที่นำโดย พล.อ.อุดมเดช ที่มีตำแหน่ง รมช.กลาโหม ซึ่งคงจะใช้ตำแหน่งที่มีอยู่ในการ “ให้คุณ ให้โทษ” หน่วยงานในพื้นที่ และให้ “ความมั่นใจ” แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ดี และที่สำคัญด้วยบุคลิกที่ “นิ่ง” และ “เงียบ” คือ คุณสมบัติของผู้นำหน่วยที่น่าจะส้รางความมั่นใจว่า ครม.ส่วนหน้า คือยักษ์ที่มี “ตระบอง” แน่นอน
ในส่วนของบุคคลอื่นๆ ก็มีอดีตแม่ทัพภาค 4 ถึง 4 คน เช่น พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการพาคนกลับบ้านที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังใช้นโยบายนี้ในการนำผู้หลงผิด เพื่อพาผู้กลับใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในงานด้านการข่าว พล.อ.ปราการ ชลยุทธ ที่เคยสร้างโมเดลในการดับไฟใต้ที่โด่งดัง คือ ทุ่งยางแดงโมเดล และ พล.อ.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ ลูกหม้อของกองทัพภาค 4 ที่รู้ปัญหา รู้พื้นที่เหมือนกันกับเส้นสายบนฝ่ามือของตนเอง
นอกจากนั้น ยังมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หมาดๆ ที่ผ่านลมร้อน ลมหนาว ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มาแล้วอย่างโชกโชน รวมทั้ง พล.อ.จำลอง คุณสงค์ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนายพลที่ถูกเรียกว่า เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องของขบวนการก่อการร้าย
โดยเฉพาะ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงค์ รมช.ศึกษาธิการ ผู้จัดตั้ง “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาในพื้นที่โดยเฉพาะ และเป็น รมช.เพียงหนึ่งเดียวใน ครม.ของรัฐบาลชุดนี้ที่ใช้เวลาลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มากที่สุด และได้แก้ปัญหาการศึกษาในพื้นที่ไปแล้วหลายเปลาะ หลายประเด็น โดยเฉพาะการกำกับดูแลการแก้ปัญหา “ความไม่ชอบกล” ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และมูลนิธิต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
และที่สำคัญ ครม.ส่วนหน้าชุดนี้มี พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขรวมอยู่ด้วย ซึ่งมีหน้าที่ไปทำการพูดคุยกับกลุ่มมาราปาตานี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เห็นต่างในประเทศมาเลเซีย ดังนั้น น่าจะเป็นประโยชน์ในการรับรู้ข่าวสาร ได้สัมผัสกับสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อเป็นข้อมูลที่ชัดเจนในการนำไปสู่โต๊ะพูดคุยกับกลุ่มมาราปาตานี
สำหรับ ครม.ส่วนหน้า หรือจะเรียกว่า “ครม.ดับไฟใต้” ยังมีนายตำรวจน้ำดีอีกผู้หนึ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ พล.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ซึ่งในครั้งที่เป็น ผบช.ศชต.นั้นถือเป็นตำรวจสายพิราบที่มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสันติภาพในระดับที่ใช้ได้ การได้เข้าร่วมครั้งนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา และการประสานงานระหว่างตำรวจกับ กอ.รมน.ได้ดี
ในฟากของพลเรือนใน ครม.ส่วนหน้า คนในพื้นที่เห็นแล้วคงจะมั่นใจได้มากขึ้น เพราะมีชื่อของ ภาณุ อุทัยรัตน์ ที่เพิ่งเป็นอดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แบบสดๆ ร้อนๆ กับ จำนัล เหมือนดำ รองเลขาธิการ ศอ.บต.ที่ตามกันมาติดๆ โดยทั้ง 2 คนถือเป็นมือทำงานฝ่ายพลเรือนที่รู้จริง เห็นจริง และหากกล้าพูดจริงกับหัวหน้าคณะ ครม.ส่วนหน้า ก็จะทำให้การประสานงานทั้งในเรื่องของการพัฒนา และในเรื่องของความไม่สงบเดินไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
มีผู้ร่วม ครม.ส่วนหน้าที่น่าสนใจอีกผู้หนึ่งคือ พรชาติ บุนนาก อดีตรองเลขาธิการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นลูกหม้อของหน่วยข่าวกรองที่มากด้วยฝีมือผู้หนึ่ง และมีตำแหน่งอยู่ในคณะพูดคุยที่มี พล.อ.อักษรา เป็นหัวหน้าคณะ จึงเป็นการได้คนเก่งไปร่วมทีมอีกคนเช่นกัน
ทั้งนี้ ถ้าบุคคลเหล่านี้สามารถนำความรู้ นำประสบการณ์มา “หลอมรวม” ให้เป็น “หนึ่งเดียว” โดยการผลักดันนโยบายที่ดีอยู่แล้ว เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ผล และการบังคับบัญชาสายงานให้สั้นเข้า ปัญหาทุกปัญหาที่สำคัญ และเร่งด่วนจะต้องทำให้ทุกอย่างจบลงที่คณะ ครม.ส่วนหน้า นั่นก็จะทำให้เรื่อง “ถั่วสุก งาไหม้” หมดไปจากพื้นที่
ต้องยอมรับความจริงว่า การดับไฟใต้ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้อยู่ที่นโยบายที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้อยู่ที่แม่ทัพแต่ละคนไม่มีฝีมือ แต่อยู่ที่การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ยังทำไม่ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งอะไรที่เป็นความติดขัด ห่วงโซ่ของการประสานงานขัดข้องตรงไหน การใช้งบประมาณมีปัญหาอะไร เป็นสิ่งที่ ครม.ส่วนหน้า จะต้องทำให้ความขัดข้องเหล่านี้หมดไป
ที่สำคัญสิ่งที่ควรจะต้องทำให้ได้คือ คณะ ครม.ส่วนหน้า จะต้องมี “ตัวตนอยู่ในพื้นที่” ไม่ใช่มีแต่ชื่อ แต่ตัวตนอยู่ในส่วนกลาง และที่สำคัญวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่มั่นใจในการเกิดขึ้นของ ครม.ส่วนหน้า ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก และต้องเข้าถึงประชาชน ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่รับฟังแต่รายงานของส่วนราชการ ซึ่งยังไม่ใช่เสียงสะท้อนจากพื้นที่ที่แท้จริง
12 ปีที่ผ่านมาของไฟใต้ระลอกใหม่ที่โชนเปลวขึ้น การแก้ปัญหาในทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้มีการตั้งหน่วยงานใหม่ๆ ในชื่อต่างๆ เกิดขึ้นมามากมายหลายหน่วย แต่หน่วยงานเหล่านั้นก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในการดับไฟใต้
ดังนั้น ครม.ส่วนหน้า ที่ตั้งขึ้นในครั้งนี้มีเสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงผู้รับผิดชอบในการบริหารประเทศว่า ขอให้เป็น “หน่วยงานสุดท้าย” และขอให้ “ความคาดหวัง” ของคนในพื้นที่เป็น “ความจริง” ไม่ใช่เป็นเพียง “ยาหอม” ที่ทำได้เพียงให้ชื่นใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่ได้ใช้ในการรักษาโรคอย่างที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง
แต่สุดท้ายแล้วอยากจะบอกกล่าวแก่ผู้ที่ร่วมชะตากรรมในพื้นที่ปลายด้ามขวานว่า แม้ “ครม.ส่วนหน้า” จะดูไม่ขี้เหร่ และแต่ละคนล้วนแต่เป็นกูรูในเรื่องของความมั่นคง แต่ก็อย่าได้ตั้งความหวังไว้สูงนัก เพราะเวลาตกลงมาจะได้ไม่บาดเจ็บ เนื่องเพราะสำหรับประเทศไทย และสำหรับเรื่องไฟใต้นั้น คนดี คนเก่ง คนมีฝีมือ ต่าง “ตกม้าตาย” ที่นี่เกือบทุกคน