กระบี่ - ปลดรองนายก อบต.เกาะลันตาใหญ่ ออกจากตำแหน่ง หลังถูกแจ้งความดำเนินคดีรับสินบน 20 ล้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค้านประกันตัวในชั้นสอบสวน
วันนี้ (19 ก.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ นายพินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายวัชระ บัวทอง เจ้าพนักงานที่ดิน จ.กระบี่ นายตรีธวัช รักษ์เมือง นายอำเภอเกาะลันตา พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวกรณี ป.ป.ช. ร่วมกับตำรวจสืบสวนภาค 8 และตำรวจ สภ.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซ้อนแผนจับกุมตัว นายอนุสรณ์ หวังผล อายุ 49 ปี เป็นรองนายก อบต.เกาะลันตาใหญ่ หลังเจ้าหน้าที่พบหลักฐานว่า มีการเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท จากบริษัทเอกชนที่ซื้อที่ดินในพื้นที่หมู่ 5 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา เพื่อแลกต่อการชี้แนวเขตที่ดินให้อยู่นอกเขตที่สาธารณะ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่เศษ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ก.ค.59 ที่ผ่านมา
โดยนายพินิจ กล่าวว่า ภายหลังทราบเรื่องได้รายงานไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงให้รับทราบแล้ว ซึ่งทางรัฐมนตรีฯ ก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด และได้สั่งกำชับใน 3 เรื่อง คือ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และเรื่องการคอร์รัปชัน หรือการรับสินบน เพื่อจะบุกรุกที่สาธารณะ หรือป่าสงวน ซึ่งขณะนี้ได้มีคำสั่งให้ นายอนุสรณ์ หวังผล รองนายก อบต.เกาะลันตาใหญ่ พ้นจากตำแหน่งแล้ว และได้สั่งการให้ทางที่ดินจังหวัด ตรวจสอบที่ดินในพื้นที่ ต.เกาะลันตาใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับ อบต.จำนวน 6 แปลง ว่า ออกเอกสารสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ ต้องยอมรับ ว่า จ.กระบี่ มีการเจริญเติบโตด้านการท่องเที่ยวสูง จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่ต้องการทำธุรกิจท่องเที่ยว จึงส่งผลให้เป็นช่องทางหนึ่งในการทุจริต ซึ่งได้กำชับให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการไม่ไปยุ่งเกี่ยวต่อการคอร์รัปชัน และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนกรณีของ นายอนุสรณ์ ที่จะมีการยื่นประกันตัวได้หรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงาน ซึ่งทางผู้ต้องหามีสิทธิที่จะยื่นประกัน
ด้าน นายวัชระ บัวทอง เจ้าพนักงานที่ดิน จ.กระบี่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในขณะนี้พบว่า ที่ นสล.แปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ 400 ไร่ ได้ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อประมาณปี 2476 และได้มีการพยายามรังวัดเพื่อออกเอกสารหนังสือสำคัญที่หลวงมาโดยตลอด และจะรังวัดชี้แนวเขตกันในวันที่ 21 ก.ค.นี้ แต่พบว่ามีโฉนดที่ดินซึ่งออกให้เมื่อปี 2557 ทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าวรวม 6 ฉบับ เนื้อที่ประมาณ 90 ไร่ ซึ่งหลังจากชี้แนวเขตเสร็จ หากพบว่ามีการทับซ้อนก็จะเสนอทางจังหวัดเพื่อพิสูจน์สิทธิ หากพบว่าทับซ้อนในพื้นที่ นสล.ก็จะดำเนินการเสนอคณะกรรมการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิต่อไป
วันนี้ (19 ก.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ นายพินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายวัชระ บัวทอง เจ้าพนักงานที่ดิน จ.กระบี่ นายตรีธวัช รักษ์เมือง นายอำเภอเกาะลันตา พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวกรณี ป.ป.ช. ร่วมกับตำรวจสืบสวนภาค 8 และตำรวจ สภ.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซ้อนแผนจับกุมตัว นายอนุสรณ์ หวังผล อายุ 49 ปี เป็นรองนายก อบต.เกาะลันตาใหญ่ หลังเจ้าหน้าที่พบหลักฐานว่า มีการเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท จากบริษัทเอกชนที่ซื้อที่ดินในพื้นที่หมู่ 5 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา เพื่อแลกต่อการชี้แนวเขตที่ดินให้อยู่นอกเขตที่สาธารณะ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่เศษ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ก.ค.59 ที่ผ่านมา
โดยนายพินิจ กล่าวว่า ภายหลังทราบเรื่องได้รายงานไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงให้รับทราบแล้ว ซึ่งทางรัฐมนตรีฯ ก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด และได้สั่งกำชับใน 3 เรื่อง คือ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และเรื่องการคอร์รัปชัน หรือการรับสินบน เพื่อจะบุกรุกที่สาธารณะ หรือป่าสงวน ซึ่งขณะนี้ได้มีคำสั่งให้ นายอนุสรณ์ หวังผล รองนายก อบต.เกาะลันตาใหญ่ พ้นจากตำแหน่งแล้ว และได้สั่งการให้ทางที่ดินจังหวัด ตรวจสอบที่ดินในพื้นที่ ต.เกาะลันตาใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับ อบต.จำนวน 6 แปลง ว่า ออกเอกสารสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ ต้องยอมรับ ว่า จ.กระบี่ มีการเจริญเติบโตด้านการท่องเที่ยวสูง จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่ต้องการทำธุรกิจท่องเที่ยว จึงส่งผลให้เป็นช่องทางหนึ่งในการทุจริต ซึ่งได้กำชับให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการไม่ไปยุ่งเกี่ยวต่อการคอร์รัปชัน และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนกรณีของ นายอนุสรณ์ ที่จะมีการยื่นประกันตัวได้หรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงาน ซึ่งทางผู้ต้องหามีสิทธิที่จะยื่นประกัน
ด้าน นายวัชระ บัวทอง เจ้าพนักงานที่ดิน จ.กระบี่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในขณะนี้พบว่า ที่ นสล.แปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ 400 ไร่ ได้ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อประมาณปี 2476 และได้มีการพยายามรังวัดเพื่อออกเอกสารหนังสือสำคัญที่หลวงมาโดยตลอด และจะรังวัดชี้แนวเขตกันในวันที่ 21 ก.ค.นี้ แต่พบว่ามีโฉนดที่ดินซึ่งออกให้เมื่อปี 2557 ทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าวรวม 6 ฉบับ เนื้อที่ประมาณ 90 ไร่ ซึ่งหลังจากชี้แนวเขตเสร็จ หากพบว่ามีการทับซ้อนก็จะเสนอทางจังหวัดเพื่อพิสูจน์สิทธิ หากพบว่าทับซ้อนในพื้นที่ นสล.ก็จะดำเนินการเสนอคณะกรรมการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิต่อไป
