โดย...นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
--------------------------------------------------------------------------------
รัฐบาลมาเลเซียผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่รัฐซาบาห์อย่างจริงจังในปี พ.ศ.2547 มีการรวมตัวของประชาชน นักวิชาการ NGOs นักธุรกิจ และคนรักสิ่งแวดล้อมในนามกลุ่ม “Green SURF” เพื่อคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 300 เมกะวัตต์ จนรัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนจุดก่อสร้างถึง 3 ครั้ง และในที่สุดก็ทนแรงต้านไม่ไหว รัฐบาลมาเลเซียต้องประกาศยุติการก่อสร้างในที่สุดเมื่อปี พ.ศ.2554
ในปี 2546 รัฐบาลมาเลเซียเริ่มแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพื่อลดการขาดแคลนไฟฟ้าในรัฐซาบาห์ จนในปี 2550 ได้มีการประกาศจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 300 เมกะวัตต์ที่ Silam, Lahad Datu ในบริเวณอ่าวดาร์เวล (Darvel Bay) ซึ่งเป็นพื้นที่ประมงพื้นบ้าน และการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง และอยู่ใกล้กับแหล่งดำน้ำชมปะการังที่สำคัญของเกาะซาบาห์
การคัดค้านมีขึ้นต่อเนื่องโดยคนพื้นที่ ข้อมูลผลกระทบค่อยๆ ปรากฏ เสียงคัดค้าน และข้อมูลผลกระทบจากประชาชน ส่งผลให้การศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้ไม่ผ่านการพิจารณา เพราะจะส่งผลกระทบที่รุนแรงทั้งต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ กระทบต่อการท่องเที่ยวอันเป็นอุตสาหกรรมหลักของรัฐ และกระทบต่อการอนุรักษ์ความสมบูรณ์หลากหลายทางชีวภาพของท้องทะเล
แต่รัฐบาลมาเลเซีย ยังจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการพัฒนาในอนาคตของรัฐซาบาห์ ในปี 2551 รัฐบาลจึงได้กำหนดให้มีการย้ายที่ตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินมาที่เมือง Seguntor ใกล้เมือง Sandakan เมืองสำคัญในแถบพื้นที่แห่งนั้น แต่ก็ยังได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากชาวเมืองภายใต้การรณรงค์ที่ชื่อว่า “Save Sandakan” เพราะบริเวณดังกล่าวใกล้เขตอนุรักษ์ป่าดงดิบ และสถานพักฟื้นสัตว์ป่าที่มีชื่อเสียงของรัฐ การคัดค้านมีพลังจนทำให้สภาแห่งรัฐมีมติไม่เห็นด้วยต่อการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่นี่ ส่งผลให้รัฐบาลต้องก็ประกาศย้ายที่ตั้งอีกครั้ง
ในปี 2552 นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ได้ประกาศยืนยันว่า ต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าขาดแคลนให้ได้ และเลือกที่จะสร้างที่ Felda Sahabat ใกล้กับ Lahad Datu ซึ่งเป็นปลายแหลมสุดของคาบสมุทรของเกาะบอร์เนียว ห่างไกลจากประชาชน และเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลยืนยันว่า จะสร้างด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ และดีที่สุดเท่าที่มีในโลก แต่การคัดค้านก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
พฤศจิกายน 2552 กลุ่มคัดค้านที่มีทั้ง NGOs ประชาชน นักวิชาการ คนรักษ์สิ่งแวดล้อม ธุรกิจการท่องเที่ยว ได้มีการรวมตัวกันในนาม “Green SURF (Sabah Unite to Re-Power the Future)” เพื่อรวมกันคัดค้านการทำลายระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนแห่งท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ การคัดค้านเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีการร่วมมือกับนานาชาติในการศึกษาผลกระทบ
โดยมีงานศึกษาชิ้นสำคัญของมหาวิทยาลัยแคลอฟอร์เนีย ซึ่งศาสตราจารย์ด้านพลังงาน ดร.Daniel M. Kammen ได้ศึกษา และตีพิมพ์รายงานเรื่อง “Clean Energy Options for Sabah: An Analysis of Resource Availability and Cost,” โดยการศึกษาพบว่า 42 ใน 117 โรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม มีปริมาณการผลิตเพียงพอที่จะนำกากปาล์มมาผลิตไฟฟ้าได้ถึง 380 เมกะวัตต์ ในขณะที่ปัจจุบันผลิตได้เพียง 30 เมกะวัตต์เท่านั้น
ในปี 2552 นี้เอง นักวิทยาศาสตร์และนักสมุทรศาสตร์ของมาเลเซียและนานาชาติก็ได้ร่วมกันดำน้ำศึกษาสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนาน 52 วัน เพราะพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพเพียงพอที่จะไปต่อสู้กับรัฐบาล และได้พบสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นการต่อสู้ทางวิชาการอีกชิ้นที่สำคัญยิ่ง
กระแสคัดค้าน ทั้งจากประชาชน และข้อมูลทางวิชาการได้ทำให้ในเดือนสิงหาคม 2553 รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐซาบาห์ ประกาศคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะจะสร้างผลกระทบต่อชายฝั่ง ปะการัง และสิ่งแวดล้อมอันละเอียดอ่อนในทะเลอย่างรุนแรง
จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2554 มุขมนตรีแห่งรัฐซาบาห์ ก็ได้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียเข้าใจถึงมรดกทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของรัฐซาบาห์ แม้ว่ารัฐซาบาห์จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่เราก็ไม่สามารถจะสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศอันสมบูรณ์นี้ได้ เพื่อปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชน และสิ่งแวดล้อม รัฐบาลกลางจึงยอมยกเลิกการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในรัฐซาบาห์ เป็นชัยชนะที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์พลังพลเมืองของประเทศมาเลเซีย
Green SURF ยังยืนยันการผลิตไฟฟ้าจากกากปาล์มและผลิตจากอุตสาหกรรมปาล์มขนาด 300 เมกะวัตต์เป็นทางออกที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซีย และบริษัทผลิตไฟฟ้าซาบาห์ ยังคงมีความพยายามผลักดันให้สร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินในบริเวณดังกล่าว
บทเรียนบทนี้ใกล้เคียงกับกรณีการผลักดัน “โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่” เป็นอย่างยิ่ง ทรัพยากรธรรมชาติ และความสมบูรณ์ของทะเลกระบี่นั้นไม่ได้แตกต่างจากรัฐซาบาห์ อุตสาหกรรมหลักที่หล่อเลี้ยงประชาชนในพื้นที่ก็ใกล้เคียงกันคือ การท่องเที่ยวทางทะเล การปลูกปาล์ม และอุตสาหกรรมจากปาล์ม
อีกทั้งข้ออ้างในการต้องมีโรงไฟฟ้าก็ไม่ต่างกันคือ ไฟฟ้าไม่เพียงพอ และโรงไฟฟ้านั้นก็ใช้เทคโนโลยีที่อ้างว่าสะอาด เช่น ที่กระบี่ เพียงแต่กำลังผลิตเล็กกว่าคือ 300 เมกะวัตต์ ในขณะที่กระบี่จะสร้างถึง 800 เมกะวัตต์
ประชาชนที่รัฐซาบาห์รวมตัวคัดค้านจนได้รับชัยชนะในที่สุด แล้วคนกระบี่ คนอันดามัน คนใต้ และคนไทยจะไม่ร่วมกันรักษากระบี่ และอันดามันที่สวยงามและสมบูรณ์ไว้ให้ลูกหลานบ้างหรือ?! ?!
------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
1. http://www.sourcewatch.org/index.php/Malaysia_and_coal
2. http://www.sourcewatch.org/index.php/Lahad_Datu_power_station
3. http://www.sepa.my/the-people-of-sabah-rejected-the-coal-plant
4. http://www.themalaysianinsider.com/malaysia/article/sabah-cancels-lahad-datu-coal-power-plant
5. http://www.alternet.org/story/147923/environmentalists_get_huge_win%3A_controversial_coal_plant_in_borneo_is_sidelined


