นครศรีธรรมราช - ปธ.สภา ทน.นครศรีฯ เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน หลังจากนายกเทศมนตรีนครนครศรีฯ แจ้งความดำเนินคดีต่อ ปชช.ฐานบุกรุก และขัดขวางการประชุมสภา เบื้องต้น พบว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเตรียมแจ้งความกลับ
วันนี้ (7 มิ.ย.) ความต่อเนื่องจากวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำประปาอย่างรุนแรงในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายบริหารพยายามเสนอญัตติพิจารณาโครงการซื้อน้ำจากเอกชนเป็นระยะเวลา 30 ปี มูลค่า 5 พันล้านบาท ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนที่ขาดแคลนน้ำประปาที่ไม่พอใจอย่างมาก แม้ว่าญัตตินี้จะตกไปตามสมัยประชุมสมัยที่ 2 ครั้งที่ 3 ที่หมดสมัยไปเมื่อ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยเหตุองค์ประชุมไม่ครบติดต่อกันถึง 2 ครั้ง
สำหรับญัตตินี้ เป็นกรณีที่ นายเชาว์นวัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช พยายามผลักดันโครงการซื้อน้ำจากเอกชนแบบผูกขาด 30 ปี มูลค่า 5 พันล้านบาท ท่ามกลางความสงสัยของประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันคัดค้านโครงการนี้ในการประชุมสภาเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ประธานสภาได้เลื่อนการประชุมไปก่อน โดยนัดประชุมถัดมาอีก 2 ครั้งคือ วันที่ 27 พ.ค. และวันที่ 30 พ.ค. ปรากฏว่า นายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาลอีก 12 คน ไม่เข้าร่วมประชุม ส่งผลให้สภาไม่ครบองค์ไม่สามารถเปิดประชุมได้
ต่อมา เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2559 ปรากฏว่า นิติกรของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ให้ดำเนินคดีต่อประชาชน จำนวน 3 รายคือ 1.นายจิรศักดิ์ สมุทรอัษฎงค์ 2.น.ส.เกตุกมล อุดหนุนกาญจน์ และ 3.นางกฤษณา ชัยวารี ประชาชนที่เข้าไปแสดงการคัดค้านโครงการซื้อน้ำจากเอกชน รวมทั้งแสดงออกถึงความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ฐานบุกรุก และขัดขวางการประชุมสภา
ขณะที่พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ และได้เชิญ นายเคารพ อิสระไพบูลย์ ประธานสภา นายวิฑูรย์ อิสระพิทักษ์กุล รองประธานสภา และนายประสิทธิ วงศ์พิศาล เลขานุการสภาเทศบาลนครนครศรีธรรมราช เข้าให้ปากคำ ซึ่งทั้ง 3 ราย ยืนยันว่า ตามที่มีการแจ้งความนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากประชาชนได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยชอบ และไม่ได้ขัดขวางการประชุม รวมทั้งอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการควบคุมการประชุม รวมทั้งสถานที่ประชุมเป็นอำนาจเต็มของประธานสภาเทศบาลนครนครศรีธรรมราชเท่านั้น
นายวิฑูรย์ อิสระพิทักษ์กุล รองประธานสภาเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ยืนยันว่า หากมีการขัดขวางการประชุมจริงนั้นย่อมเป็นสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายที่ประธานสภาต้องแจ้งความดำเนินคดี กรณีที่นายกเทศมนตรี ได้มอบอำนาจให้นิติกรมาแจ้งความดำเนินคดีต่อประชาชนนั้น ถือว่าเป็นลุแก่อำนาจ และประธานสภา รวมทั้งรองประธาน และเลขานุการได้มาให้ปากคำยืนยันว่า ประชาชนไม่ได้เข้ามาขัดขวางเป็นการแสดงออกถึงความเดือดร้อน และคัดค้านโครงการซื้อน้ำ 5 พันล้านบาท ที่เห็นว่า หากผ่านสภาประชาชนจะเป็นผู้รับภาระความเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ราย เตรียมที่จะแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่มาแจ้งความกลับต่อผู้ที่เข้าแจ้งความกล่าวหาว่าขัดขวางการประชุม และบุกรุกเทศบาล เนื่องจากเป็นการจงใจเจตนากล่าวหาให้ได้รับโทษในทางอาญา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดอาญาเช่นเดียวกัน