xs
xsm
sm
md
lg

“เอกภาพลวงตา” ที่เกิดจากการรวบอำนาจดับไฟใต้ไว้ที่ “กองทัพ” / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก

----------------------------------------------
 
ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านวันเวลามาอย่างยาวนาน และยังคงจะยืดยาวต่อไปนั้น ในอดีตมีการกล่าวอ้างกันว่า สาเหตุใหญ่ที่การ “ดับไฟใต้หรือการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นอยู่ในสภาพของ “ความล้มเหลวมาจากความไม่เป็น “เอกภาพ ของหน่วยงานของรัฐ
 
ตัวอย่างที่ฝ่ายความมั่นคงนำมาเป็นข้ออ้าง และชี้นำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมคือ การทำหน้าที่ของ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)” กับการทำหน้าที่ของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”
 
โดยเฉพาะการที่มีผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ในลักษณะที่ “ไม่ขึ้นต่อกัน” และมีการทำหน้าที่ “ทับซ้อน กัน รวมทั้งหน่วยงานของภาครัฐที่อยู่ในภูมิภาค 66 หน่วยงาน ซึ่งมาจากกระทรวงต่างๆ ซึ่งมี “นาย ของตนเอง และฟังคำสั่งของ “นาย” ที่เป็นเจ้ากระทรวงของตนเองเป็นหลัก มากกว่าที่จะฟังคำสั่งของหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการแก้ปัญหาความไม่สงบ
 
แต่หลังการพ้นไปของ “รัฐบาลพลเรือน” ที่มาจากการเลือกตั้ง และการเกิดขึ้นของ “คสช.” ที่เป็นผู้ให้กำเนิด “รัฐบาลทหาร” ชุดปัจจุบัน มีการ “ลดบทบาท ของ ศอ.บต.และให้ขึ้นตรงต่อแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4
 
โดยลดชั้นให้ ศอ.บต.เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
 
สิ่งสำคัญที่สุดในการให้ ศอ.บต.เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็เพื่อความเป็น “เอกภาพ” ในการบังคับบัญชา รวมทั้งการให้ “บูรณาการ” ให้ 66 หน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ ต้องฟังนโยบาย และการสั่งการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
 
วันนี้จึงถือว่าเรื่องของการ “ไม่มีเอกภาพ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้หมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากในการดับไฟใต้มีการ “รวมศูนย์” ทั้งในด้านนโยบาย และงบประมาณอยู่กับ “กองทัพ” เพียงหน่วยงานเดียว
 
แต่สุดท้ายหลังจากที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ โดยมีนโยบายในการดับไฟใต้ผ่านไปแล้ว 2 ปี วันนี้ไฟใต้ยังคง “ลุกไหม้” เป็นระยะๆ รุนแรงบ้าง โทรมลงบ้าง แล้วแต่สถานการณ์ในพื้นที่
 
เช่น ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “รุกหนัก” ต่อเป้าหมาย ทั้ง “พื้นที่” และ “ตัวบุคคล  ขบวนการก็จะสั่งให้มีการ “โต้ตอบ” มีการ “เอาคืน” และมีการ “แก้แค้น” โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนที่เป็น “เป้าหมายอ่อนแอ โดยเฉพาะ “ชาวไทยพุทธ”
 
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช้นโยบาย “ผ่อนปรน โดยต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการรุกรานระหว่างกัน ในเวลานั้นก็จะเห็นว่าสถานการณ์ดูดีขึ้น ซึ่งที่สถานการณ์ดูดีขึ้นจึงไม่ใช่เป็นเพราะมาจาก “ฝีมือเจ้าหน้าที่” แต่เป็นเพราะมาจากนโยบาย “เราไม่รุกรานท่าน ท่านไม่รุกรานเรา
 
ดังนั้น เมื่อ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเกมรุกต่อ “แกนนำและ “แนวร่วม ในพื้นที่ตามนโยบายของ “กองทัพ” ในการยุติปัญหาความไม่สงบให้เกิดขึ้นโดยเร็ว สิ่งที่ติดตามมาคือ การ “ตอบโต้” จากแนวร่วม ทั้งการใช้ “คาร์บอมบ์” หรือ “จยย.บอมบ์ รวมถึงการ “ยิงคนไทยพุทธ” และเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง
 
เป็นการแสดงให้เห็นว่า วันนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังมีการสร้าง “แนวร่วมรุ่นใหม่” เกิดขึ้น เพื่อทดแทน “แนวร่วมรุนเก่า และยังมีความพร้อมในการ “ปฏิบัติการอย่างทันท่วงที” เมื่อ กอ.รมน.เปิดเกมรุกต่อพื้นที่ และบุคคลของขบวนการ
 
อันจะเห็นว่าขบวนการยังฉกฉวยโอกาสในการก่อเหตุความรุนแรง เมื่อสถานการณ์มีความ “สุกงอม เช่น การหยิบเอาเหตุของการยึด “ปอเนาะญีฮาด” ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งสร้างความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมต่อคนในพื้นที่ รวมทั้งหยิบเอารายงานของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมในเรื่อง “การซ้อมทรมานผู้ต้องหา” มาผูกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เห็นถึง “ความชอบธรรม ของการก่อเหตุความรุนแรง
 
ดังนั้น ความเป็น “เอกภาพ” ที่ได้มาของ “กองทัพ” เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอในการที่จะสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นอย่างที่เคยคิดไว้
 
เนื่องเพราะการมี “เอกภาพ” การมี “อำนาจ” ในการใช้นโยบายที่มาจาก “กองทัพ” และการ “สั่งการ” ให้ปฏิบัติตามนโยบายจึงยังไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผล
 
เพียงแต่การมีเอกภาพเป็น “ส่วนหนึ่ง ที่เป็นส่วนสำคัญในการที่จะ “ดับไฟใต้ ให้เป็นผลสำเร็จ แต่การเป็นเอกภาพก็ไม่ใช่ “ยาวิเศษ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องลดลงอย่างเป็นลำดับ และต้องไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
 
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตามองซึ่งอาจจะนำมาสู่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นคือ แผนการ “พูดคุยสันติสุข ที่ตัวแทนรัฐไทยต้องการให้ “กลุ่มมาราปาตานี เป็นผู้กำหนด “พื้นที่ปลอดภัย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
อันเป็นแผนที่รัฐไทยต้องการเห็นว่า “กลุ่มมาราปาตานี มีอำนาจในการควบคุม “แนวร่วม” กลุ่มติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้หรือไม่
 
เพราะเชื่อว่าหาก “กลุ่มมาราปาตานี” ประกาศ “พื้นที่ปลอดภัย เมื่อไหร่ พื้นที่ตรงนั้นจะเป็น “พื้นที่อันตราย อย่างแท้จริง
 
เพราะ “แกนนำ” ที่ไม่เห็นด้วยต่อ “กลุ่มมาราปาตานี ในการ “พูดคุยสันติสุข และ “กลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่ ซึ่งไม่ต้องการเห็น “ความสงบสุข” จะต้องสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น
 
เพื่อ “ขัดขวางการพูดคุยสันติสุข” ให้รัฐไทยเห็นว่า “กลุ่มมาราปาตานี” ไม่มีอำนาจในการควบคุม “แนวร่วมกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” แต่อย่างใด
 
จึงเป็นหน้าที่ของ “หน่วยงานที่รับผิดชอบ” ในการป้องกันชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะต้องมีแผนในการ “รับมือ ต่อการปฏิบัติการของแนวร่วม เพื่อป้องกันความสูญเสีย ทั้งในเรื่องของชีวิต และทรัพย์สิน ทั้งของประชาชน และของราชการ
 
ฉะนั้นในช่วงของ “การขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุข” อย่างเป็นทางการอาจจะเป็นห้วงเวลาที่ “เลวร้ายที่สุด” ของสถานการณ์ในพื้นที่ก็เป็นได้
 
เนื่องเพราะ “เอกภาพ” เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เนื่องเพราะ “เอกภาพ” ที่เกิดขึ้นยังเป็นเรื่องที่เป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่เกิดจาก “อำนาจพิเศษ” ที่ทำให้เกิด “เอกภาพจอมปลอม” ที่ไม่ได้ส่งผลให้ “การดับไฟใต้” ดีขึ้นแต่อย่างใด
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น