ศูนย์ข่าวภาคใต้ - สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย นำอวนไปล้อมเป็นสถานที่ชุมนุมหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพฯ เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขเนื้อหา ม.34 ด้านตำรวจรุดเจรจาอ้าง รมต.ยินดีคุยด้วยแต่ให้รื้ออวน และห้ามสื่อเข้าฟังการพูดคุย ฝั่งผู้ชุมนุมไม่ยอมเผยโดนหลอกมาเยอะ ยันชุมนุมต่อจนถึงที่สุด ด้าน ผจก.สมาคมฯ อัด ม.34 รังแกคนจนเอื้อประโยชน์นายทุนประมง
วันนี้ (4 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชาวประมง สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้นำอวนไปล้อมเป็นสถานที่ชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขเนื้อหา ม.34 ใน พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามมาเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมรื้ออวนที่ล้อมบริเวณที่ชุมนุมออก โดยนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย 1 ในผู้ร่วมชุมนุมได้โพสต์ในเฟชบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า
“ถ้าไม่รื้ออวนออกตำรวจอาจจะไปขอหมายศาล รัฐมนตรียินดีพูดคุยด้วยแต่ให้รื้ออวนออก และวงเจรจาขอไม่ให้สื่อมวลชนเข้า ทำไมกลัวสื่อในเมื่อจะพูดกันเรื่องปัญหาของส่วนรวม เรื่องหมายศาลอย่าเอามาขู่กัน สถานการณ์ ณ นาทีนี้ถ้าไม่ให้สื่อเข้าเราก็จะไม่เจรจา เพราะมีบทเรียนโดนหลอกมามากแล้ว”
ด้าน นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พระราชกำหนดการประมงฉบับใหม่ ซึ่งออกโดยฝ่ายบริหาร หรือคณะรัฐมนตรีเพียงฝ่ายเดียว ให้ใช้แทนพระราชบัญญัติการประมงฉบับเดิมที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อต้นปี 2558 ได้กำหนดไว้ชัดเจนใน มาตรา 34 ว่า “ห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ทำการประมงในเขตทะเลนอกชายฝั่ง” สามารถเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนหลักการเดิมไปโดยสิ้นเชิง
“สิ่งที่ท่านทั้งหลายควรรู้ร่วมกันก่อนในเบื้องต้น คือ แต่เดิมนั้นการกำหนดแนวเขตการประมงชายฝั่งนั้น เจตนาเพื่อหวงห้ามการใช้เครื่องมือประมงที่มีศักยภาพสูง หรือมีสภาพการทำประมงที่มีลักษณะทำลายล้างทรัพยากรมากเกินไป มิให้เข้ามาทำการประมงในแนวเขตชายฝั่ง เช่น การประมงอวนลาก, อวนรุน, ปั่นไฟจับปลาตัวเล็กในเวลากลางคืน เป็นต้น”
นายวิโชคศักดิ์ กล่าวและว่า บางพื้นที่กำหนดไว้ 3 กิโลเมตรจากแนวชายฝั่ง (แผ่นดิน) บางพื้นที่กำหนดที่ 3 ไมล์ทะเล (ประมาณ 5,400 เมตร) โดยที่หลักสำคัญของการห้าม คือ “ห้ามชาวประมงทุกฝ่าย ทุกพวก ไม่ว่าจะเป็นประมงขนาดเล็ก หรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ก็ห้ามใช้เครื่องมือเหล่านี้ทั้งสิ้น” ชาวประมงพื้นบ้านขนาดเล็กนั้นสามารถทำประมงได้ “นอกชายฝั่ง” ได้ เช่นเดียวกับชาวประมงแบบพาณิชย์
“ปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนเป็นที่รับรู้โดยทั่วไป คือ การที่ชาวประมงพาณิชย์ หรือแม้กระทั่งชาวประมงขนาดเล็กบางรายที่ใช้เรืออวนลาก เรืออวนรุน หรือเครื่องมือที่ถูกกำหนดห้ามเข้าชายฝั่ง กลับลักลอบเข้ามาทำการประมงชนิดนั้นๆ ในเขตหวงห้ามชายฝั่งนั่นเอง จนทำให้เกิดภาวะความเสื่อมโทรมของทรัพยากรประมงอย่างหนัก เพราะเขตชายฝั่งที่ว่านั้นส่วนใหญ่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน จนเป็นเหตุให้มีการปะทะขัดแย้งกับกลุ่มอนุรักษ์อยู่เสมอๆ นั่นเอง”
คราวนี้กลับไปพิจารณา พ.ร.ก.ประมงใหม่ มีข้อกำหนดห้ามชาวประมงพาณิชย์เข้ามาในเขตชายฝั่งทะเล ซึ่งกำหนดไว้ที่ 3 ไมล์ทะเลโดยเด็ดขาด ในขณะเดียวกัน ก็ได้กำหนดห้ามชาวประมงพื้นบ้านออกไปทำประมงจับปลานอก 3 ไมล์ทะเลด้วยตามมาตรา 34
“คำถามใหญ่ๆ จึงเกิดขึ้นว่า ชาวประมงพื้นบ้านทำผิดอะไรจึงต้องห้ามเขาประกอบอาชีพในพื้นที่ที่เขาเคยทำประมงอยู่แต่เดิม แถมกำหนดคาดโทษอย่างหนักไว้ด้วยว่า หากชาวประมงพื้นบ้านรายใดละเมิดข้อห้ามบังอาจล้ำเขตประมงพาณิชย์จะต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่น ถึงห้าแสนบาท ขังชาวประมงพื้นบ้านทั้งหมดไว้ใน 3 ไมล์ทะเล หรืออาจขยายกรงขังออกไป 12 ไมล์ทะเลได้ คำถามคือ จะให้พวกเขาทำการประมงได้อย่างไรในพื้นที่จำกัดแออัดแบบนี้? ต้องไม่ลืมว่า ชาวประมงพื้นบ้านในที่นี้ พ.ร.ก.ประมงใหม่ให้ความหมายว่า เป็นผู้ที่ใช้เรือประมงระวางบรรทุกต่ำกว่า 10 ตันกรอสลงมา หรือผู้ที่ใช้เครื่องยนต์เรือต่ำกว่าที่รัฐมนตรีกำหนด จะพบว่าจำนวนชาวประมงพื้นบ้านมีจำนวนมากในอัตรามากกว่า 80% ของชาวประมงทั้งหมด”
นายวิโชคศักดิ์ กล่าวว่า การให้สิทธิการประมงแก่ประมงพาณิชย์ ซึ่งมีจำนวนน้อยราย (ไม่ถึง 20%) ให้มีสิทธิในพื้นที่ทำการประมงได้เพียงฝ่ายเดียวได้ตั้งแต่ 3 ไมล์ทะเล จนสุดเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ตามประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทย (ประมาณ 200 ไมล์ทะเล) หรือสุดเขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย สุดแต่เขตใดจะไกลกว่า
“มันไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปหรือ? เพราะเขตทะเลนอกชายฝั่งถือเป็นแหล่งที่ควรจับสัตว์น้ำอย่างเหมาะสมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และรายได้แก่ชาวประมงทุกฝ่ายควรได้เข้าถึงอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม โดยตรรกะทั้งหมดทั้งสิ้น โดยหลักการบริหารทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน รัฐไทยไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องเปิดศึกกับประชาชนคนเล็กคนน้อยให้ต้องทนทุกข์ทรมานต่อกฎหมายที่ห่างไกลกับคุณธรรมอย่างนี้”