xs
xsm
sm
md
lg

ชาวเลหลีเป๊ะ-ราไวย์ร้อง! ชะลอการดำเนินคดีให้รอผลพิสูจน์สิทธิ หลังตกเป็นคู่กรณีกับเอกชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
สตูล - ชาวเลหลีเป๊ะ-ราไวย์ ขอให้ชะลอการดำเนินคดีทางกฎหมาย หลังตกเป็นคู่กรณีกับเอกชนจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิจากคณะกรรมการฯ แก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน พร้อมหวังหากรัฐบาลได้ทราบข้อมูลข้อเท็จจริงจะคืนสิทธิให้กลุ่มชาติพันธุ์อย่างแน่นอน

วันนี้ (29 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบปัญหาที่ดิน ที่ทำกิน และที่อยู่อาศัยของชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะ จากการสำรวจแผนที่แสดงแปลงที่ดินจากเอกสาร น.ส.3 บนการใช้ประโยชน์ที่ดินปี 2493 พบปัญหาการออกเอกสารสิทธิทับซ้อนที่ดินหลายพื้นที่ และการออกเอกสารเกิน หรือบวมจากที่ครอบครอง ไปถึงสุสานโต๊ะคีรีของชาวเล หลังมีการอ้างสิทธิทำให้ชาวเลไม่สามารถใช้พื้นที่ฝังศพได้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างพื้นที่ดินของ นางดารา อังโชติพันธ์ ให้เป็นกรณีตัวอย่างในการออกเอกสารสิทธิครอบครองในพื้นที่ 81 ไร่ ที่ครอบพื้นที่สุสานโต๊ะคีรีของชาวเล ที่จะมีการตรวจสอบในครั้งนี้ รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ

 
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบยังพบการทำประโยชน์ในพื้นที่บนเกาะหลีเป๊ะเพียง 4 ไร่ ไม่ได้ทำประโยชน์อีก 70 ไร่ ได้ถูกนำเสนอ และตีแผ่ในเวทีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล ครั้งที่ 1/2559 ศาลากลางจังหวัดสตูล นำคณะโดย พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการฯ ลงพื้นที่ติดตามแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากการกำหนดให้พื้นที่ที่ราษฎรทำประโยชน์ เป็นที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ โดยเฉพาะเขตอุทยานแห่งชาติ และป่าสงวนแห่งชาติ โดยมีตัวแทนและฝ่ายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล

พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการฯ ขอให้มีการส่งข้อมูลพยานหลักฐานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้แก่ดีเอสไอเพื่อรวบรวมสรุปในวันที่ 14 ก.พ.นี้อีกครั้ง หากพบว่ามีการออกเอกสารทับซ้อนจริง ขอให้มีการรื้อใหม่ให้ถูกต้อง และขอให้ถอยกันคนละก้าวเพื่อให้การแก้ปัญหาเดินหน้าไปได้ แต่หากไม่ยอมก็ต้องว่าด้วยกฎหมาย พร้อมให้แนวทางในการแก้ปัญหาด้วยการช่วยกันคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อความมั่นคง และยั่งยืนในทุกฝ่ายให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งล้มหายตายจากไป กฎหมายต้องไม่กระทบวิถีชีวิตชาวเล หากกระทบต้องมีทางออกให้พวกเขา และเน้นย้ำให้มีการใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรมตามสภาพจริง

 
ซึ่งมติที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางแก้ปัญหาใน 5 ข้อคือ ข้อ 1.เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวงเพื่อกำหนดเขตหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 หรือ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ที่ดินบริเวณใดบ้างที่ไม่เป็นที่หวงห้าม ไม่เป็นอุทยานฯ หรือไม่เป็นป่าสงวน ถือเป็นที่ดินครอบครองโดยชอบมาก่อนประกาศเป็นที่หวงห้าม/เป็นอุทยานแห่งชาติ/เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งการครอบครอบได้มี 2 นัยคือ 1.ครอบครองโดยมีหลักฐานทางที่ดิน เช่น ใบจอง ส.ค.1 น.ส.2 น.ส.3 โฉนด หรือ 2.ครอบครองใช้ประโยชน์มาก่อน พ.ศ.2479 ต่อเนื่องมาจนถึงวันประกาศ และครอบครองต่อเนื่องเรื่อยมา แม้จะไม่มีหลักฐานทางที่ดินเลยก็ตาม

ข้อ 2.เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่ามีการครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยชอบมาก่อนการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ตามหลักแล้วจะต้องมีการดำเนินการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ข้อ 3.การกันพื้นที่ที่มิใช่อุทยานฯ ป่าสงวนแห่งชาติ ออกจากพื้นที่เป็นหน้าที่ของราชการ ที่จะทำให้รู้แนวเขตครอบครองโดยชอบ ข้อ 4.หากประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ทับที่ชาวบ้านแล้วต้องไม่กระทบ หากมีความจำเป็นต้องรอนสิทธิเพื่อประโยชน์สาธารณะต้องมีการออกที่เหมาะสม และไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม ข้อ 5.กรณีมีการใช้กฎหมายเข้าจับกุมผู้ที่ครอบครองโดยชอบในเขตอุทยานฯ แห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ และมิได้กันออกเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ให้ถือเป็นการปฏิบัติการนอกกฎหมาย เพราะเมื่อไม่มีการกันออก ก็ไม่ทราบแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ชนติดกับเขตที่ดินที่มีการครอบครองโดยชอบ

 
นายไมตรี จงไกรจักร ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง จ.พังงา มีความเห็นว่า ความขัดแย้งในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันที่ไปเกี่ยวโยงกับรัฐบาลในนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ก็ต้องเร่งเพิกถอนเอกสารสิทธิให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล โดยการสั่งการเด็ดขาดไปยังกรมที่ดินตามหลักฐานที่ทางคณะกรรมการพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมกันนี้ เห็นว่า รัฐบาลต้องทำตามมติ ครม. 2 มิ.ย. 2553 เรื่องฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล พร้อมกำหนดเขต วัฒนธรรมพิเศษของชาวเลให้เป็นรูปธรรม เชื่อว่าจะนำไปสู่การลดความขัดแย้ง และสร้างความมั่นคงให้กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเชื่อว่าคณะกรรมการฯ ชุดนี้จะเป็นความหวังในการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบการตัดสินใจให้รัฐบาลพิจารณา

นางแสงโสม หาญทะเล ครู คส.1 (ทายาทชาวเลเกาะหลีเป๊ะ) โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล กล่าวว่า รู้สึกมีความหวัง หลังคณะกรรมการฯ ชุดนี้ ลงติดตามปัญหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวเล ในการยกระดับให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา หลังมีการลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมเห็นว่าประเด็นที่ตกหล่นคือ การให้มีการชะลอการดำเนินคดีกับชาวเลในพื้นที่เกาะหลีเป๊ะและราไว พร้อมฝากให้รัฐบาลช่วยเร่งรัดในการแก้ปัญหาที่สะสมมานานของชาวเลเป็นของขวัญในปีนี้



 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น