ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เสี่ยร้านคอมพิวเตอร์ร้องสื่อคดีไม่คืบ หลังสูญเงินกว่า 1.7 ล้านบาทจนหมดตัว เรียกร้องตำรวจเร่งติดตามจับกุม เผยมีเหยื่อลักษณะเดียวกันอีกหลายรายสูญเงินร่วม 10 ล้านบาท
วันนี้ (18 ม.ค.) นายชรินทร์ คงคาสุริยฉาย อายุ 46 ปี อดีตนักธุรกิจเจ้าของกิจการร้านจำหน่วยคอมพิวเตอร์ ชื่อร้านมายมิ้ลด์คอม ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หอบหลักฐานทั้งใบแจ้งความ และหมายจับของศาล จ.สงขลา รวมทั้งเอกสารการโอนเงินของธนาคารเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน และเรียกร้องไปยังตำรวจให้ติดตามจับกุม น.ส.สุพิศ ชัยทอง อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล จ.สงขลา คดีฉ้อโกง ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นแก๊ง 18 มงกุฎ ที่หลอกให้ร่วมทำธุรกิจและเชิดเงินหนีไป จำนวน 1.7 ล้านบาท จนตัวเองถึงขั้นหมดตัวต้องปิดกิจการ และขายบ้าน อีกทั้งยังหลอกคนอื่นอีกหลายรายในลักษณะเดียวกับตน รวมเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แต่ยังหนีลอยนวล ซึ่งอาจจะมีคนตกเป็นเหยื่ออีก
นายชรินทร์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ ตนเปิดกิจการร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์อยู่ที่ อ.หาดใหญ่ โดย น.ส.สุพิศ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า พิศ หรือนุ้ย ได้เข้ามาที่ร้าน และตีสนิทกับภรรยาของตนเอง และมาที่ร้านเป็นประจำนานนับปี จนมีความสนิทชิดเชื้อไว้ใจกันเหมือนญาติคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อเดือน มี.ค.56 น.ส.สุพิศ เริ่มออกอุบายขอยืมเงินเพื่อนำไปทำธุรกิจขายส่งเหล้าต่างประเทศบอกว่ามีกำไรดี จึงได้โอนเงินผ่านธนาคารงวดแรกเมื่อวันที่ 19 มี.ค.56 จำนวน 1 แสนบาท และ น.ส.สุพิศ ได้คืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรวม 1.1 แสนบาท
จากนั้นจึงได้ยืมเรื่อยมาแต่จะคืนให้เฉพาะดอกเบี้ยร้อยละ 10 และงวดสุดท้ายวันที่ 28 ธ.ค. 2556 ได้ยืมไป 1.5 แสนบาท จากนั้นจึงหายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย รวมเงินทั้งหมดที่ยืมไปทั้งสิ้น 1.7 ล้านบาท เมื่อไปตามหาที่บ้าน และที่ร้านขายดอกไม้ที่อ้างว่าอาศัยอยู่ กลับได้รับคำตอบว่าไม่ใช่บ้าน และร้านของ น.ส.สุพิศ แต่อย่างใด จึงเชื่อว่าตนทั้งสองถูกหลอก และเมื่อสอบถามพฤติกรรมของ น.ส.สุพิศ ก็พบว่า มีหลายคนที่ถูกหลอกในลักษณะนี้ และสูญเงินไปรวมกันไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท โดยเฉพาะตนซึ่งถึงกับหมดตัว เพราะไม่มีเงินหมุนเวียนในบริษัท และต้องขายตึก และปิดกิจการร้านคอมพ์เพื่อนำเงินลงทุนทำกิจการใหม่
นายชรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พยายามตามหาตัว น.ส.สุพิศ รวมทั้งแจ้งความต่อตำรวจ แต่เรื่องก็ยังเงียบไร้วี่แวว และพยายามเดินเรื่องจนศาล จ.สงขลา ออกหมายจับเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และทราบเบาะแสล่าสุดอยู่ในพื้นที่ จ.พัทลุง จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีเพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุหลอกลวงใครอีก แม้ว่าเงินจำนวน 1.7 ล้านบาท ของตัวเองจะไม่ได้คืนแล้วก็ตาม