ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ดีเอสไอลงพื้นที่ตรวจสอบเอกสารสิทธิมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท บนเกาะนาคาน้อย จ.ภูเก็ต หลังดาราชื่อดังร้องเรียน คาดออกโดยมิชอบใช้ ส.ค.1 บินสวม และบวมจาก 7 ไร่เศษ เป็น 17 ไร่เศษ ออกติดที่ดินดาราดัง “ภูริ หิรัญพฤกษ์”
เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (14 ธ.ค.) พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย นายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย เทศบาลตำบลป่าคลอก สำนักงานที่ดินส่วนแยกอำเภอถลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง ลงพื้นที่บริเวณเกาะนาคาน้อย หมู่ที่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยใช้เวลานั่งเรือจากฝั่งเกาะภูเก็ตไปยังเกาะนาคาน้อยประมาณ 10 นาที เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ครอบครัว “หิรัญพฤกษ์” ซึ่งเป็นครอบครัวของนายภูริ หิรัญพฤกษ์ ดารานักแสดงชื่อดังได้ร้องเรียนว่า มีเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. เลขที่ 3977 หมู่ที่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ซึ่งติดกับแปลงที่ดินของครอบครัวออกโดยมิชอบ มีการออกทับพื้นที่ป่า โดยมีนายภูริ หิรัญพฤกษ์ ดาราชื่อดัง พร้อมสมาชิกในครอบครัวร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ดินในส่วนที่ของครอบครัวหิรัญพฤกษ์ โดยระบุว่า เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นปู่ และบนเกาะดังกล่าวก็มีที่ดินของครอบครัวหิรัญพฤกษ์เพียงครอบครัวเดียว โดยได้ออกมาตั้งแต่ปี 2518 เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ และได้ขอสัมปทานพื้นที่ในน่านน้ำหน้าเกาะออกไป 200 เมตร เพื่อทำฟาร์มไข่มุกเมื่อหลายปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันให้เอกชนรายหนึ่งเช่าในการประกอบธุรกิจ ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าน่าจะไม่มีเอกสารสิทธิอื่นอีก โดยปัจจุบันที่ดินของครอบครัวนั้นก็มีเพียงบ้านพักตากอากาศหนึ่งหลัง โดยยังไม่ได้มีการพัฒนาแต่อย่างใด ยกเว้นบริเวณหน้าชายหาดซึ่งมีผู้มาขอเช่าพื้นที่เพื่อดำเนินการธุรกิจท่องเที่ยว
พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์สีนิล กล่าวถึงการลงตรวจสอบข้อเท็จจริงการออกเอกสารสิทธิพื้นที่เกาะนาคาน้อยดังกล่าว ว่า สืบเนื่องจากทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์ ได้ร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่เชื่อว่ามีการออกโดยมิชอบ เพราะทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์ได้ซื้อที่ดินบนเกาะ และทำประโยชน์มานาน เป็นเวลาร่วม 48 ปี และไม่พบว่ามีผู้อื่นมาครอบครองพื้นที่บนเกาะดังกล่าว ส่วนพื้นที่ที่มีการร้องเรียนนั้นเป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขาอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ มีสภาพเป็นป่า และมีความสมบูรณ์ของทรัพยากรมาก รวมทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือกแหล่งสำคัญของ จ.ภูเก็ต โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ได้มีผู้นำเอา ส.ค.1 เลขที่ 70 ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่บนเกาะนาคาน้อย มาขายให้แก่ทางครอบครัวนี้ โดยพื้นที่ของ ส.ค.1 ขณะนั้นอยู่ติดกับชาวบ้าน 3 ด้าน และติดป่า 1 ด้าน โดยไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่โดยสภาพของพื้นที่ที่มีการร้องเรียนนั้น พบว่ามีพื้นที่ติดทะเล เมื่อมีการตรวจสอบเมื่อ 4 ปีที่แล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้รับรอง ส.ค.1 ให้แก่ผู้ครอบครองดังกล่าว ยืนยันว่าที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินที่เกิดเหตุ แต่เป็นที่ดินซึ่งอยู่บนเกาะนาคาใหญ่ ห่างจากเกาะนาคาน้อย ประมาณ 1 กิโลเมตร ทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์จึงไม่ได้ซื้อ แต่ได้เก็บหลักฐานไว้ จนกระทั่งในปี 2557 ได้มีการนำ ส.ค.1 เลขที่ 70 ดังกล่าวไปออก น.ส.3 ก.ในที่ดินที่เกิดเหตุ แต่มีการแก้ไขข้อมูลในเอกสารจากเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็น 17 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา และแก้ไขภูมิประเทศจากเดิมติดชาวบ้าน 3 ด้าน และติดพื้นที่ป่า 1 ด้าน เป็นติดทะเล 2 ด้าน และบุคคลที่ติดกันนั้นก็ไม่ใช่บุคคลเดิม เนื่องจากเราพบว่าเป็นแผนประทุษกรรมที่ว่า นำเอาพรรคพวกตัวเองมาถือครองพื้นที่ที่เป็นช่องว่างระหว่างครอบครัวหิรัญพฤกษ์ เพื่อไม่ต้องให้ครอบครัวนี้เข้ามารับรองแนวเขต นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขระยะเนื้อที่เพื่อให้สอดรับต่อสภาพพื้นที่ของพื้นที่ที่เกิดเหตุ
จากการลงพื้นที่พบว่า ในปี 2557 ได้มีการอ้างว่ามีการทำประโยชน์มีการปลูกมะพร้าว สวนยาง สวนผลไม้ และออก น.ส.3 ก. จากนั้นก็ได้มีการนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายให้แก่บริษัทเอกชนรายหนึ่ง มูลค่าประมาณ 42 ล้านบาท ในวันเดียวกับที่มีการ น.ส.3 ก.คือ วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 จึงมองว่าการกระทำดังกล่าวน่าจะทำเป็นขบวนการ ทั้งในส่วนของเจ้าพนักงานที่ร่วมกับผู้ครอบครอง จนออก น.ส.3 ก. สำเร็จ จึงได้มาตรวจสอบ และพบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เห็นชัดเจนว่าไม่มีการทำประโยชน์จริง
พ.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงแนวทางหลังจากการตรวจสอบแล้วว่า เมื่อพบการกระทำผิดก็จะนำเสนอเรื่องให้แก่คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งความผิดที่รับได้ คือ การบุกรุกป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนจะเป็นการฟอกเงินหรือไม่ เนื่องจากมีการซื้อขายกันแล้วก็ต้องส่งเรื่องให้แก่ทางคณะกรรมการ ปปง.พิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพราะต้องรวบรวมข้อมูล และให้ทางผู้เชี่ยวชาญลงมาตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะครั้งนี้เป็นการมาตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาต่อไป สำหรับที่ดินแปลงของครอบครัวหิรัญพฤกษ์ เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะออกถูกต้อง และยังไม่มีผู้ใดร้องเรียนมายังดีเอสไอ