MGR Online - เศรษฐีนักธุรกิจผ้า มอบเช็คเงินสด 28 ล้านบาท ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการจัดซื้อทองคำบูรณะปลียอดทองคำองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ขณะที่กรมศิลป์พร้อมแถลงผลการพิสูจน์คราบสนิมในวันที่ 22 ธันวาคม
วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ห้องปฏิบัติงานผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยต่อสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า ตามที่นายจิมมี่ ชวาลา เศรษฐีนักธุรกิจผ้าผู้ใจบุญจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แสดงความจำนงบริจาคเงิน จำนวน 28 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อทองคำ 20 กิโลกรัมมาบูรณะปลียอดทองคำองค์พระบรมธาตุเจดีย์จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. นายจิมมี่ ชวาลา ได้ให้เจ้าหน้าที่ จำนวน 3 คน เป็นตัวแทนนำเช็คเงินสด จำนวน 28 ล้านบาท มามอบให้แก่ตนเองแล้ว เพื่อยืนยันในเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการจัดซื้อทองคำ 20 กิโลกรัม มาบูรณะปลียอดทองคำองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช โดยบริจาคในนามชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่ได้บริจาคในนาม นายจิมมี่ แต่อย่างใด ซึ่งตนได้เก็บเช็คจำนวนดังกล่าวไว้ก่อน เนื่องจากนายจิมมี่ ต้องการมอบเช็คผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งตนได้ทำหนังสือหารือไปยังมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แล้วว่า สามารถมอบผ่านมูลนิธิฯ ได้หรือไม่ คิดว่าคงได้รับคำตอบในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่สามารถบริจาคผ่านมูลนิธิฯ ได้ ตนได้หารือกับผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยทางจังหวัดได้เปิดบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชีจัดซื้อทองคำเพื่อบูรณะปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช มีคณะกรรมการ 5 คน ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 (ผบ.มทบ.41) ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 14 วัฒนธรรมจังหวัด และนายจิมมี่ ชวาลา เพื่อนำเช็คเงินสดเข้าบัญชีดังกล่าว ซึ่งในการเบิกถอนเงินต้องมีผู้ลงนาม 4 ใน 5 คน โดย 4 ใน 5 คน ต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ลงนาม แต่หากสามารถบริจาคผ่านมูลนิธิฯ ได้ บัญชีดังกล่าวก็จะปิดต่อไป
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหายอดพระบรมธาตุมีสีคล้ายสนิมว่า ตนได้โทรศัพท์หารือกับอธิบดีกรมศิลปากรแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบว่าจะมีการเดินทางมาประชุมร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 22 ธันวาคม 2558 เพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งตนได้ตั้งคำถามไว้ 5 ประเด็น คือ
1.ประเด็นที่มีปัญหาทำไมยอดพระธาตุมีสีคล้ายสนิม 2.ทองคำที่ยอดพระธาตุหายไปเมื่อครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี พ.ศ.2537-2538 จริงหรือไม่ 3.การตั้งนั่งร้านจะอยู่จะรื้อเมื่อไหร่ 4.ผลการพิสูจน์ของกรมศิลปากรเป็นอย่างไร 5.แล้วจะมีการซ่อมแซมบูรณะอย่างไร และเมื่อไหร่
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นโบราณสถานตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบกฎหมายนี้ ดังนั้น การดำเนินการใดๆ จะต้องเป็นเรื่องของกรมศิลปากรเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ จังหวัดเองเป็นเพียงผู้ประสาน สนับสนุน ส่วนวัดพระมหาธาตุฯ เป็นเพียงผู้ดูแล และสนับสนุนเท่านั้น
ส่วนเรื่องประเด็นสนิม เป็นเรื่องความเห็นส่วนตัวของผู้ว่าฯ ซึ่งข้อเท็จจริงทางอธิบดีกรมศิลป์จะได้แถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง แต่จากที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ขึ้นไปดูด้วยตนเอง พบว่า ที่ปล้องไฉน บริเวณบัวคว่ำบัวหงาย มีรอยสีคล้ายสนิมไหลออกมา ซึ่งประมาณได้ว่าอาจจะเกิดจากน้ำที่ซึมเข้าไปในปลียอด แล้วไปทำปฏิกิริยากับโลหะที่ไม่ใช่ทองคำ หรือปูน เนื่องจากบางส่วนมีปูนแตก แล้วเกิดเป็นน้ำสีข้นไหลออกมา ในขณะที่สีพระบรมธาตุเป็นสีขาว เมื่อเกิดสิ่งดังกล่าวขึ้นเช่นนี้ย่อมเป็นรอยด่างอย่างแน่นอน
จากที่ผู้ว่าฯ รู้ว่ารอยด่างนี้เกิดในช่วงที่มีการซ่อมแซมครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่ เมื่อปี 2537 หรือ 21 ปีผ่านมา คำตอบคือ จากชาวนครศรีธรรมราชว่าไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น รอยสนิมน่าจะมีมานานก่อนหน้านี้ แต่เดิมทีสีของพระบรมธาตุมีสีคล้ำจึงไม่เห็นรอยสนิม ส่วนสนิมนี้เกิดจากอะไร ซึ่งตนได้พูดคุยกับอธิบดีกรมศิลปากรแล้วว่าช่วงวันที่ 22 ธันวาคม 2558 จะลงมาประชุมชี้แจงร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนมรดกโลกจังหวัดนครศรีธรรมราช มาชี้แจงทำความเข้าใจให้พี่น้องประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน
เพราะฉะนั้นการสันนิษฐานว่าเกิดจากการเปลี่ยนโลหะที่ไม่เป็นสนิมเป็นเหล็ก ซึ่งตนจะไม่พูดถึงเพราะเป็นเทคนิคของเขา เป็นของช่างที่เขามาซ่อม ซึ่งอยู่ในการกำกับของกรมศิลปากร ส่วนประเด็นเรื่องทองคำหาย ข้อเท็จจริงที่ตนได้รับทราบมาก็คือ การบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2537 ได้มีการนำทองคำมาหลอมใหม่ จะบางส่วนหรือทั้งหมดตนไม่รู้ แต่เมื่อมาดำเนินการแล้วเพื่อจะเอาไปบูรณะซ่อมแซม ปรากฏว่า มีทองคำส่วนหนึ่งเหลือ แล้วเอาทองคำนั้นไปสร้างพระพุทธรูปทูลเกล้าถวาย นี่คือสิ่งที่ผู้ว่าฯ ได้รับทราบมา
การดำเนินการซ่อมแซมมีคณะกรรมการทุกระบบทุกขั้นตอน ดังนั้น จะมีผู้ใดผู้หนึ่งจะเอาทองส่วนนี้ไปน่าจะเป็นไปได้ยากมาก แต่ส่วนที่ทองเหลือจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไรเป็นเรื่องของคณะกรรมการในยุคนั้นสมัยนั้น ตนพูดไปตามข้อมูลที่ทราบ