ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - นักวิชาการชื่อดังภาคใต้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวย้ำปรากฏการณ์นักวิชาการเจอข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ชี้ปมเห็นต่างทางการเมืองของสังคม เหตุประเทศไทยไม่เคยมีรัฐบาลประชาธิปไตย มีแต่เผด็จการทหารและเผด็จการพลเรือน
วันนี้ (30 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจรูญ หยูทอง นักวิชาการชื่อดังภาคใต้ หนึ่งในนักวิชาการที่ร่วมออกแถลงการณ์เรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” จนถูกแจ้งให้ไปรายงานตัวฐานร่วมกันชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้น ล่าสุดได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว มีข้อความว่า
“เราไม่เคยมีรัฐบาลประชาธิปไตย มีแต่เผด็จการทหารและเผด็จการพลเรือน การที่ผมถูก คสช.แจ้งความว่ากระทำการขัดคำสั่ง คสช.ที่ ๓/๒๕๕๘ ในครั้งนี้บางคนเปรียบเปรยกับผมว่าเหมือนนิทานเรื่อง "ชาวนากับงูเห่า" เพราะบางคนมองว่าผมเป็นคนร่วมขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและกวักมือเรียกทหารให้เข้ายึดอำนาจ ซึ่งเรื่องนี้เรายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่หลายประการ
ประการแรก ผมร่วมขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพราะพวกเขาประกาศตัวเป็นศัตรูกับพี่น้องประชาชนและปล่อยให้พี่น้องประชาชนที่แสดงออกทางการเมืองโดยสันติและปราศจากความรุนแรงถูกลอบฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน
ประการที่สอง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองพรรคใหญ่ร่วมกันก่อกรรมทำเข็ญ สร้างความแตกแยก เสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองวันแล้ววันเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยไม่สำนึกถึงผิดชอบชั่วดี
ประการที่สาม แม้ว่าพวกเขาจะมาจากการเลือกตั้งแต่ไม่ได้ใช้โอกาสและอำนาจที่มีอยู่ในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่มีคุณสมบัติหรือเกียรติภูมิพอจะเป็นผู้นำระดับสูงสุดของประเทศ คุณสมบัติอย่างเดียวที่หล่อนมีและส่งผลให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคือการที่เกิดมาเป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคการเมืองที่หล่อนสังกัด
ประการที่สี่ ผมมีความเชื่อโดยสนิทใจว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้นและต่อมาจนถึงขณะนี้ ไม่ได้เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ เพราะประเทศนี้ไม่เคยมีรัฐบาลประชาธิปไตย มีแต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะการใช้อำนาจรัฐ กระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา
ประการที่ห้า การที่ผมไม่เอาด้วยกับรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมไม่ได้หมายความว่าผมจะยินดีปรีดากับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจโดยทหาร ความพอใจเพียงประการเดียวถ้าจะมีก็คือความสะใจต่อรัฐบาลพลเรือนที่บ้าอำนาจและขาดมโนธรรม และการเข้ามาของทหารทำให้มวลมหาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องล้มตายเหมือนผักปลาอีกต่อไป แต่ส่วนบ้านเมืองจะไปต่ออย่างไรมันเป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องช่วยกัน
ปะการที่หก แม้หลายคนจะปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลเผด็จการทหาร โดยเฉพาะในกระบวนการร่างรัฐธรรมนญ ตั้งแต่ฉบับ ๒๕๕๐ และ ๒๕๕๘ ที่ไม่ผ่านสภา แต่ผมยินดีเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญฯ จ.สงขลาและอนุกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นฯ ด้วยปรารถนาให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในเร็ววัน
ประการที่เจ็ด ผมไม่ใช่ กปปส. ไม่ใช่คนของ ปชป. และฝ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ผมเอาด้วยกับทุกฝ่ายที่คิดดี ทำดี ต่อชาติบ้านเมือง ส่วนใครจะคิดว่าเหมาะสมไม่เหมาะสมก็เป็นเหตุผลและมุมมองของแต่ละคน แต่สำหรับผมด้วยประสบการณ์ค่อนชีวิตเกือบกึ่งศตวรรษผมไม่เคยทำอะไรโดยไม่คิด แต่ผมก็ไม่เคยคิดมากเสียจนทำอะไรไม่ได้และไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากออกมาก่นด่าคนอื่นที่ไม่ดูดาย เสมอนอกหรือ "สีแก้วพลอยรุ่ง" แบบบางพวกบางกลุ่ม
ประการสุดท้าย "เราจะรักกันได้อย่างไรในเมื่อเรายังไม่เข้าใจกัน" หรือบางคนอาจจะเข้าใจแต่ "เข้าใจผิด" ทั้งสองฝ่ายที่กำลังหาที่ยืนในสังคม อีกฝ่ายกำลังหาทางลงที่ไม่บาดเจ็บและมีที่ยืนในสังคมนี้อย่างมีความสุข
สำหรับผมวันนี้มากมายไปด้วยคนรู้จัก อบอุ่นด้วยมิตรภาพ และกังวลใจสำหรับศัตรูทางความคิด คนรู้จักบางคนกลายเป็นเพื่อน เพื่อนบางคนกลายเป็นคนรู้จักและพัฒนาไปเป็นศัตรู สำหรับศัตรูผมไม่มีเวลาจะทำความเข้าใจ แต่สำหรับเพื่อนผมพร้อมเสมอที่จะรักษามิตรภาพเอาไว้ให้ยั่งยืนที่สุด เพราะวันเวลาเราเหลือน้อยไม่มากพอให้เราหาเพื่อนใหม่ได้อีกแล้ว
สำหรับชาวมหาวิทยาลัยที่ผมสังกัดและไม่สังกัดขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติลงนามร่วมกอบกู้เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของ "คนมหาวิทยาลัย" แม้จะน้อยมากจนน่าใจหายเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มีชีวิตเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะสภาคณาจารย์และพนักงานทุกมหาวิทยาลัยที่ไม่แสดงจุดยืนว่าท่านคิดอย่างไรต่อกรณีนี้ เพราะพวกท่านคือตัวแทนอันชอบธรรมของพวกเราที่อาสาเข้ามารับใช้ชาวมหาวิทยาลัย ส่วนผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยพวกเขาสูงส่งเกินไปและไม่ยึดโยงกับคนระดับพวกเราอยู่แล้วโดยธรรมชาติ วันที่มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ (อีกแล้ว) ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘”