xs
xsm
sm
md
lg

แม้จะรูดม่านปิดคดีค้ามนุษย์ที่ชายแดนใต้ได้สวยงาม แต่ใช่ปัญหาจะหมดไป / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
 
เนื่องเพราะ จ.สงขลา เป็นเมืองหน้าด่านที่มีชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ทั้งด้านรัฐเปอร์ลิสและรัฐเคดาห์ ดังนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จ.สงขลาจึงเป็นพื้นที่ในการส่งออกสินค้า ทั้งที่ถูกต้องและผิดกฎหมาย โดยบรรดาธุรกิจที่ผิดกฎหมายเหล่ามีการนิยามว่าเป็น “ภัยแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับไฟใต้ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน

อย่างเช่นเป็นเส้นทางค้ายาเสพติดข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุด ส่งออกโสเภณี แรงานเถื่อน อาวุธเถื่อน และที่โด่งดังที่สุดชนิดที่รู้จักไปทั่วโลก คือ พื้นที่ชายแดนของ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นเส้นทางสุดท้ายของ “ขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา และอุยกูร์” ซึ่งมีการปลูกสร้าง “ค่ายกักกัน ในเทือกเขาแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย จนนำมาซึ่งการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของไทย

คดีการกวาดล้างค้ามนุษย์ข้ามชาติที่เป็นคดีประวัติศาสตร์คดีนี้ เปิดเผยเป็นข่าวให้ชาวโลกได้รับรู้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2558 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองสนธิกำลังเข้าตรวจค้นบนเทือกเขาแก้ว หมู่ที่ 8 บ้านตะโละ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยพบค่ายกักกันจำนวนหลายสิบหลัง มีชายชาวโรฮิงญาที่ถูกทอดทิ้งไว้ในค่ายและป่วยหนัก 1 ราย และเมื่อตรวจสอบโดยรอบค่ายกักกันแห่งนี้ เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกู้ภัยถึงกับตลึงเมื่อพบ “หลุมฝังศพ” จำนวน 32 หลุมด้วย

ก่อนที่จะเข้าตรวจค้นประมาณ 1 เดือน ตำรวจ สภ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ได้จับกุมชาวโรฮิงญาที่ถูกขบวนการค้ามนุษย์ซุกซ่อนมากับรถยนต์กระบะ จากสอบสวนทราบว่าชาวโรฮิงญาทั้งหมดที่ถูกจับได้กำลังถูกนำส่งไปยังชายแดน ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา เพื่อส่งต่อไปยังมาเลเซีย

ต่อมามีญาติของ “นายรอฟิก” และ “นายคาซิน” ชาวโรฮีนจาเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.หัวโทร จ.นครศรีธรรมราชว่า มีขบวนการ “นำพา” คนทั้งสองเพื่อส่งไปยังมาเลเซียได้ติดต่อเรียกค่าไถ่ 80,000 บาท หากญาติไม่จ่ายให้ก็จะทำร้ายทั้ง 2 คน ซึ่งตำรวจได้สืบสวนจนทราบตัว “นายหน้า” ที่มีทั้งชาวโรฮีนจาและคนไทยใน จ.นครศรีธรรมราชอยู่เบื้องหลัง

เมื่อประสานตำรวจ ภ.จว.สงขลา จนได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่านายคาซินถูกฆ่าตาย ส่วนนายรอฟิกหลบหนีจากที่กักกันออกไปได้ จึงได้ดำเนินการเข้าตรวจค้นบริเวณเทือกเขาแก้ว จนพบทั้งค่ายกักกันและหลุมฝังศพ 32 หลุมดังกล่าว จากการขุดศพขึ้นมาชันสูตรพบว่าเป็นมุสลิมชาวโรฮีนจาที่เป็นพลเมืองของประเทศพม่า และศพส่วนใหญ่ป่วยและอดอาหารจนเสียชีวิต แต่ก็มีบางศพที่มีร่องรอยถูกทำร้ายจนเสียชีวิต

จากการสืบสวนยังพบว่า ขบวนการค้ามนุษย์หรือนำพาชาวโรฮีนจา ซึ่งเป็นมุสลิมจากรัฐยะไข่ของพม่าที่อยู่ในสถานะของ “คนไร้รัฐ เพราะพม่าไม่รับรองสิทธิการเป็นพลเมือง จึงหลบหนีเข้าสู่ไทยเพื่อต่อไปยังมาเลเซีย โดยมี “ขบวนการ” ใหญ่ระดับ “การค้ามนุษย์ข้ามชาติ” ที่มีทั้งนักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจประมง และเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหารและพลเรือนร่วมอยู่ในขบวนการด้วย และเชื่อมโยงกันหลายจังหวัดทั้ง สงขลา สตูล และระนอง เป็นต้น

เพราะเป็นคดีการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบกับสถานะของไทยที่อียูและสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่า ไทยเป็นแหล่งการค้ามนุษย์ โดยได้ทำการขึ้นบัญชี “เทียร์ 3” ที่สร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีต รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี โดยให้ประสานการปฏิบัติการสืบสวน สอบสวนและจับกุมผู้อยู่ในขบวนการระหว่าง “บช.ภ.8” และ “บช.ภ.9”

เจ้าหน้าที่ใช้เวลารวมรวมหลักฐานไม่กี่สัปดาห์ก็ออกหมายจับผู้อยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติชุดแรกได้เกือบ 50 คน ซึ่งประกอบด้วย “โกโต้ง” นายปัจจุบัน อังโชติพันธ์ นักธุรกิจใหญ่ และอดีตนายก อบจ.สตูล ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “เจ้าพ่อเกาะหลีเป๊ะ นายบรรจง ปองผล อดีตนายกเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ อ.สะเดา นายมาเลย์ โต๊ะดิน นายก อบต.ปูยู อ.เมือง จ.สตูล และนักการเมืองท้องถิ่นระดับ “รองนายก อบจ.” และ “ส.อบต.” รวมทั้งอดีตผู้นำท้องที่อีกจำนวนหนึ่ง

ก่อนที่จะออกหมายจับ “โกหนุ่ย” นายสุวรรณ แสงทอง นักธุรกิจใหญ่และพวกอีกจำนวนมากที่ประกอบกิจการแพปลาใน จ.ระนอง ซึ่งจากการตรวจสอบหลักฐานทางการเงินพบว่า พัวพันกับ “พล.ท.มนัส คงแป้น” ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก จนสุดท้ายมีการออกหมายจับและ พล.ท.มนัสได้เข้ามอบตัว โดยให้การปฏิเสธ

คดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกออกหมายจับนอกจาก พล.ท.มนัสแล้ว ยังประกอบด้วย พ.อ.ณัฐสิทธิ์ มากสุวรรณ สังกัด กอ.รมน.จ.สตูล ร.อ.วิสูตร บุญนาค สังกัด กอ.รมน. จ.ชุมพร ร.อ.สันทัด เพชรน้อย สังกัด กอ.รมน. จ.ชุมพร  น.ท.กัมปนาท สังข์ทองจีน สังกัดทัพเรือภาคที่ 3 รวมถึง ตชด.กองร้อย 437 และตำรวจ สภ.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดาอีก 3 นาย
 
นอกจากนี้ยังพบว่า มีทั้งตำรวจภูธร ตำรวจน้ำ ตรวจคนเข้าเมือง และ ตชด.ที่สืบสวนพบว่าร่วมให้การสนับสนุนขบวนการค้ามนุษย์ โดยถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่และถูกย้ายออกจากพื้นที่กว่า 150 นาย ล่าสุดในการโยกย้ายประจำปีมีตำรวจที่อยู่ในข่ายบกพร่องต่อหน้าที่ถูกย้ายอีก 25 นาย ซึ่งเป็นถึงระดับ ผกก.หัวหน้าโรงพัก

คดีนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2558 และมีการแถลงข่าวปิดคดีพร้อมปิดศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้าเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา หรือรวมเป็นเวลาราว 5 เดือน

สรุปว่าคดีค้ามนุษย์โรงฮีนจาที่เกิดขึ้นมีผู้ต้องหาที่ออกหมายจับทั้งสิ้น 153 คน จับกุมได้แล้ว 91 คน ยังหลบหนี 62 คน และแยกเป็น “คดีฟอกเงิน” ได้ 77 คน จับได้ 37 คน หลบหนี 40 คน โดยผู้ต้องหาที่จับได้จะไม่ได้รับการประกันตัว และถูกควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีในเรือนจำ อ.นาทวี จ.สงขลา

ในวันที่ 10 ต.ค.ศกนี้จะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้งว่า คดีประวัติศาสตร์คดีนี้จะมีการพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดนาทวี หรือจะมีการโอนคดีทั้งหมดไปยังศาลแผนกค้ามนุษย์ที่ศาลอาญากรุงเทพฯ หรือไม่

แม้ว่าจะมีการขุดรากถอนโคนของขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติในภาคใต้ได้อย่างสวยงาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การค้ามนุษย์ในภาคใต้จะไม่มีอีกต่อไป ตราบใดที่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวโรฮีนจากับรัฐบาลพม่ายังไม่ได้รับการแก้ไข และตราบใดที่มุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงยังดิ้นรนต่อสู้กับรัฐบาลจีนเพื่อให้ยกฐานะเป็นเขตปกครองพิเศษ ตราบนั้นก็จะยังมีกลุ่มคนที่ถูกกดขี่จนต้องแสวงหาสันติภาพด้วยการหลบหนีไปสู่อิสรภาพ และเมื่อนั้นขบวนการค้ามนุษย์หรือนำพาคนข้ามแดนข้ามชาติก็ยังคงมีต่อไป เพราะค่าจ้างตัวเลข 6 หลักต่อหัวยังเป็นสิ่งเย้ายวนให้คนจำนวนหนึ่งพร้อมที่จะนำตัวเข้าไปเป็น “อาชญากรข้ามชาติ” ด้วยความเต็มใจ

สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงยังต้องเดินหน้าต่อไปคือ ขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจากับอุยกูร์ที่กำลังเป็นมหากาพย์อยู่ในขณะนี้คือ ขบวนการเดียวกัน ที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจจะเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายโยงใยถึงกันด้วย
 

ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงอย่าเพิ่งดีใจในการปิดคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาและอุยกูร์ได้อย่างหมดจดในครั้งนี้ เพราะเบื้องลึกและเบื้องหลังของขบวนการนี้ยังมีทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐและกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ยัง “ลอยนวล” อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรอให้คลื่นลมสงบเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนขบวนการข้ามชาติได้อีกครั้ง
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น