xs
xsm
sm
md
lg

จากราชประสงค์ถึงไฟใต้ “หน่วยข่าว” และ “ตม.” คือจุดอ่อนที่ต้องรีบสังคายนา / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
 
คดีการก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิด “แสวงเครื่อง” ที่ศาลพระพรหม บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ยิ่งสาวลงลึกเท่าไหร่ ยิ่งเชื่อมโยงกับขบวนการที่หลากหลาย ซึ่งล่าสุด ก็ขยายวงมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่นับตั้งแต่สิ้นเสียงกัมปนาทของระเบิด ผู้มีหน้าที่ในการตอบคำถามสื่อต่างบอกปัดในทันทีว่า ไม่พัวพันถึงการก่อการร้ายข้ามชาติ และไม่เกี่ยวกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ไฟใต้
 
แต่พลันที่มีชื่อของ “วรรณา สวนสัน” หรือ “ไมซาเราะ” ภรรยาของหนุ่มตุรกีเข้ามาเกี่ยวข้อง และถูกออกหมายจับทั้งสามีและภรรยา เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อทีมระเบิดที่ราชประสงค์ โดยมีการสืบสาวจาก “ไมซาเราะ” ไปถึงแก๊งค้ามนุษย์ที่ ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และเมื่อตำรวจ และทหารบุกเข้ารวบตัวของ “กามารุดิง สาเหาะ” ชาว ต.ปาเสมัส ในฐานะของผู้ต้องสงสัยว่ามีการติดต่อกับ “ไมซาเราะ” ยิ่งทำให้จิ๊กซอว์การเชื่อมโยงของกลุ่มก่อการร้ายชัดเจนยิ่งขึ้น
 
ยิ่งปรากฏชัดว่า “ฝักแค” ที่คนร้ายใช้ในการประกอบชุดระเบิดที่ราชประสงค์ เป็นแบบที่มีการใช้ในการก่อการร้ายในชายแดนใต้ โดยเฉพาะในการก่อเหตุที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อปี 2551 และ 2553 ซึ่งเป็นฝักแคที่ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในไทย แต่มีบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซียเพื่อใช้ในอุสาหกรรมเหมืองหิน และเหมืองแร่
 
คดีที่ราชประสงค์ ณ ขณะนี้จึงมีส่วนพันกันหลายส่วน ตั้งแต่ผู้ร้ายข้ามชาติ ซึ่งยังไม่ยืนยันว่ามีสัญชาติเป็นมุสลิมตุรกี หรือเป็นมุสลิมจีนที่เป็นชนชาวอุยกูร์ จากซินเกียง แต่ที่แน่ชัดคือ ทีมของผู้ต้องหาที่เป็นผู้วางระเบิดราชประสงค์เกี่ยวพันต่อทีมค้ามนุษย์ใน จ.นราธิวาส อย่างแน่นอน เพราะผู้ต้องสงสัยที่ถูกเจ้าหน้าที่อุ้มไปจาก อ.สุไหงโก-ลก นั้น เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในกลุ่มของขบวนการค้ามนุษย์ ส่วนในเรื่อง “ฝักแค” ที่ใช้ในการประกอบระเบิด แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าได้จากกลุ่มก่อไปใต้หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว เชื่อว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน
 
ดังนั้น ถ้าเดินหน้าสาวย่านคดีระเบิดราชประสงค์ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะพบว่าขบวนการนี้มี “เครือข่าย” ที่เชื่อมโยงไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ “สระแก้ว” จนถึง “อรัญประเทศ” ไปถึง “เชียงราย” และโยงใยมาถึงจังหวัดฝั่งอันดามันทั้งที่ “ภูเก็ต” และ “พังงา” จนมาถึง “สงขลา” และ “นราธิวาส” แต่ที่น่ากลัวคือ สิ่งที่พบเห็นในวันนี้เป็นเพียง “ยอด” ของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ส่วน “ฐานราก” ที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไรยังไม่โผล่ให้เห็น
 
แน่นอนอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รวมทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ที่ต่างบอกว่า ยังไม่สรุปว่าการวางระเบิดที่ราชประสงค์เป็นเรื่องอะไร ระหว่างความแค้นส่วนตัว การก่อการร้าย และการขัดผลประโยชน์ เพราะมีส่วนเป็นไปได้ทั้งนั้น และมีส่วนว่าอาจจะทำกันเป็นเครือข่ายของทั้งกลุ่มค้ามนุษย์ข้ามชาติ และกลุ่มก่อการร้ายในประเทศที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การสร้างความปั่นป่วนให้แก่รัฐบาล และกองทัพ
 
สุดท้ายแล้วประเด็นระเบิดที่ราชประสงค์จะเกี่ยวกับขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ เกี่ยวพันกับขบวนการค้ามนุษย์ หรือขบวนการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้น ไม่เหนือความสามารถของตำรวจไทยในการสืบสวนสอบสวน ยกเว้นแต่ผลการสืบสวนสอบสวนที่เป็น “ของจริง” ซึ่งเป็น “อันตราย” ต่อประเทศจนไม่สามารถเปิดเผยได้ และจำเป็นต้อง “เบี่ยงประเด็น” ให้เป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อ “ความมั่นคง”
 
แต่สิ่งที่เห็นด้วย และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ คือ การ “จัดระเบียบ” หรือ “สังคายนา” หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวต่อการป้องกันแนวชายแดนของประเทศทั้งหมด เพื่อให้มีความพร้อมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ และบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือ เลิกใช้หน้าที่ “หาประโยชน์” เข้าพกเข้าห่อ
 
เพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่อื้อฉาวในการเรียกเก็บ “ส่วย” จากขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบต่างๆ เช่น บริษัทท่องเที่ยว จัดหางาน สถานบันเทิง โรงงาน และธุรกิจต่างๆ ที่มีต่างด้าวทั้งชาย-หญิงขายบริการทางเพศและขายแรงงาน และที่ร้ายแรงที่สุดคือ การยอมให้บุคคลที่มี “แบล็กลิสต์” ผ่านประตูเมืองเข้ามาเพื่อก่อการร้ายในประเทศ
 
วันนี้ ตม.เต็มไปด้วย “กาฝาก” ที่ไม่ได้มีความรู้ ไม่มีฝีมือต่อการเป็นปราการแรกของการกลั่นกรองผู้เดินทางเข้าเมือง แต่เป็น “เด็กฝาก” และ “เด็กเส้น” ที่ “วิ่งเต้น” โดยใช้เงินในการ “ซื้อตำแหน่ง” และ “เส้นสาย” จากผู้ใหญ่ ดังนั้น หน่วยงานนี้จึงเป็นหน่วยงานที่ “หย่อนยาน” และเต็มไปด้วย “ผลประโยชน์” ที่ผิดกฎหมาย
 
ที่สำคัญปีหน้าไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตม.ยิ่งต้องมีความสำคัญในการกลั่นกรองผู้ที่เข้าเมือง หากยังปล่อยให้ไร้ประสิทธิภาพ และแสวงหาแต่ผลประโยชน์ ไทยจะกลายเป็นสวรรค์ของผู้หลบหนีเข้าเมือง และอาชญากรรมข้ามชาติ
 
เช่นเดียวกับการจัดการกับเขตเส้นพรมแดนที่ยาวนับร้อยๆ กิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นที่ภาคเหนือ ใต้ อีสาน รวมทั้งในน่านน้ำ ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พรมแดนทั้งหมดคือ “ช่องทาง” ที่ผู้ร้ายทุกประเภทใช้ในการข้ามแดนเข้า-ออก หรือข้ามไป-มาอย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่เป็นช่องทางของขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือในภาคเหนือ ที่เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด
 
แน่นอนว่าทุกแนวชายแดนคือ “ช่องทาง” ของขบวนการค้ามนุษย์ และผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ ซึ่งวันนี้รัฐบาล และ คสช.ต้องตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรต่อการเรื่องของพรมแดน ซึ่งจะต้องมี “รั้วคน” หรือมี “กำแพง” เพื่อให้ยากต่อการหลบหนีเข้าเมืองหรือไม่
 
อีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาล และ คสช.ไม่กล่าวถึงเลยทั้งที่สำคัญกว่าเรื่องพรมแดน และ ตม.คือ เรื่องของ “การข่าว” ที่เป็นทั้ง “จุดบอด” และ “จุดอ่อน” เห็นได้จากระเบิดที่ราชประสงค์ หน่วยข่าวทั้งหมดที่มีอยู่ตั้งแต่ข่าวกรองแห่งชาติ ข่าวกรองของกองทัพทุกเหล่าทัพ รวมถึงด้วยสันติบาล และตำรวจท้องที่
 
ทุกหน่วยงานต่างไม่ได้ “สำเหนียก” ข่าวการก่อการร้ายกลางกรุงแต่อย่างใด และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มีการก่อวินาศกรรมในเมืองหลวง หรือในเมืองใหญ่ของประเทศ ทั้งที่งบประมาณของแต่ละหน่วยงานรวมๆ กันแล้วปีละหลายพันล้านบาท จึงต้องมีการ “สังคายนา” กันขนาดใหญ่ว่า ณ วันนี้ “งบการข่าว” กับ “เนื้องาน” ที่ได้คุ้มค่ากันหรือไม่
 
เพราะโดยข้อเท็จจริงของระเบิดที่ราชประสงค์ครั้งนี้ หน่วยงานที่ยอดเยี่ยมควรได้รับการชื่นชม คือ ตำรวจที่สามารถคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว และหน่วยงานที่ยอดแย่ แต่ไม่ได้ถูก “ท่านผู้นำ” กล่าวถึงคือ หน่วยงานด้านการข่าว ซึ่งควรจะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดต่อความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ราชประสงค์
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น