คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
บทบาทในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ และการรักษาเสถียรภาพของเงินบาทของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นับตั้งแต่เริ่มรับราชการใหม่ๆ สะท้อนให้เห็นแนวคิดว่า รัฐบาลที่ทันสมัย และมีเหตุผลควรมีวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ ๓ ประการคือ
๑.การพัฒนา คือ การเพิ่มขึ้นของรายได้ และทรัพย์สินของประเทศชาติ
๒.เสถียรภาพ คือ การจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แบบหยุดชะงัก และเร่งเป็นช่วงๆ
๓.ความเป็นธรรมทางสังคม คือ การกระจายทรัพย์สินให้เป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน
คำบรรยายวิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ของอาจารย์ป๋วย สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ เศรษฐกิจประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๘ ส่วนคำบรรยายเกี่ยวกับหลักธรรมจริยา ซึ่งควรยึดถือในทางเศรษฐศาสตร์เน้นว่า ธรรมและศีลตามหลักพุทธศาสนานั้นมีความสอดคล้องกันในทางเศรษฐศาสตร์ ด้วยธรรมหมายถึงการช่วยเหลือให้บุคคล และสังคมโดยรวมดีขึ้น ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ความยุติธรรม ส่วนศีลหมายถึง การละเว้นจากการสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง และผู้อื่น
กรณีที่ขัดหลักธรรมจริยาในทางเศรษฐศาสตร์ ได้แก่
๑.ข้าราชการผู้รับสินบน หรือใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตน
๒.ข้าราชการผู้เกี่ยวโยงกับธุรกิจเอกชนในฐานะประธาน หรือกรรมการบริษัท ซึ่งมีผลประโยชน์ขัดกับหน่วยงานซึ่งข้าราชการผู้นั้นปฏิบัติงานอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมิได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจนั้นก็ตาม
๓.ข้าราชการผู้ที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตก็ตาม
๔.นโยบายเศรษฐกิจซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มน้อย ในขณะที่เป็นผลร้ายต่อคนส่วนใหญ่
๕.บุคคลผู้สมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการเพื่อเอาเปรียบสาธารณชน
๖.ข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งรัฐบาลออกบังคับใช้อย่างสมเหตุสมผล
๗.การหลีกเลี่ยงภาษีอากรของบุคคล และบริษัทห้างร้าน
๘.การกักตุนิสนค้าในยามขาดแคลน โดยมุ่งค้าหากำไรในตลาดมืด
๙.ราษฎรผู้ปราศจากอาชีพ ผู้ไม่พยายามหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต หรือไม่ตระหนักถึงหน้าที่ของตนในฐานะพลเมืองของชาติ ผู้ปราศจากสติยับยั้ง และความรู้สึกผ่อนหนักผ่อนเบา ผู้ที่พยายามเอาเปรียบผู้อื่น และผู้ไม่พยายามขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว และคอยขัดขวางความก้าวหน้า
๑๐.ชนกลุ่มน้อยซึ่งกลายเป็นผู้ร่ำรวยอย่างมหาศาล ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่มีความยากจนแร้นแค้น
๑๑.ผู้ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ และมีรายได้สูง หรือผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดจำนวนมาก แต่มิได้นำทรัพย์สินเหล่านั้นลงทุนในทางที่ก่อให้เกิดผลผลิตอันจะช่วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปี ๒๔๙๘ อาจารย์ป๋วย ได้แสดงปาฐกถาอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับการใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยว่า
“นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีประสบการณ์ และความสามารถควรได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ…โดยทั่วไปแล้วก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เหตุผลทางการเมืองทั้งหลายก็ควรจะตระหนักว่า การใช้วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายทางสังคมนั้น มิใช่สิ่งเดียวต่อการพยายามบิดเบือนกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสนองตัณหาทางการเมือง”
ปี ๒๕๐๒ อาจารย์ป๋วย เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แทนรัฐมนตรีที่ลาออก เพราะคดีอื้อฉาวเรื่องการพิมพ์ธนบัตร อาจารย์ป๋วย ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เป็นหน่วยงานที่ทรงความสามารถในด้านการงาน และยึดมั่นในหลักธรรมจริยา มีอิสระ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เป็นเหตุให้ประเทศไทยประสบปัญหาในการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่เหมาะสม และได้มาตรฐานอย่างอาจารย์ป๋วย ในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของอาจารย์ป๋วย สวนกระแสกับนักเศรษฐศาสตร์ และผู้นำระดับชาติในยุคหลังจนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่สังคมไทยยกย่องอาจารย์ป๋วย กันเหลือเกิน สะท้อนว่าสังคมไทยเป็นสังคม “หน้าไหว้หลังหลอก” หรือ “เห็นด้วย แต่ไม่เอาด้วย” เราจึงไปไม่ถึงไหน และ “ด้อยพัฒนาและล้าหลัง” จนทุกวันนี้.