xs
xsm
sm
md
lg

“บังหมีด” กับ “คนกินปลา” & “เรือประมงล้างผลาญ” กับ “อวนใหญ่-ตาเล็ก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
เรื่อง : ศุภวรรณ ชนะสงคราม / ภาพ : Wanchai Phutthong
 
 
“พรึ่บ....พรึ่บ” เสียงผ้าเต็นท์สะบัดตามแรงลม
พวกเรารีบวิ่งไปจับเสาเต็นท์....
ด้วยเกรงว่า
เต็นท์อาจจะล้มลงได้จริงๆ
หากลมแรงมากขึ้นกว่านี้
เต็นท์ที่พี่น้องประมงพื้นบ้านกางไว้
ประมงพื้นบ้าน....คนตัวเล็กๆ.... 
แต่หัวใจยิ่งใหญ่
พวกเขาเตรียมการสำรองไว้
หากการชุมนุมยืดเยื้อเกิน 1 วัน
 
เขานัดหมายให้เรามารออยู่ที่นี่ก่อน
ก่อนที่พวกเขาจะตามกันมา
ที่สำคัญใต้เต็นท์นี้น่าจะเป็นที่นอน
ของเราคืนนี้ด้วย....
คืนแรกของการร่วมเรียกร้อง
ให้หยุด “เรือปั่นไฟปลากะตัก”
 
หลังจากที่ เรือท้ายตัด เป็นร้อย....เป็นพันลำ....
ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา....
มารวมตัวเรียงรายประท้วงกันอยู่ในทะเล
พี่น้องประมงพื้นบ้านออกจากบ้านกันมาแต่เช้ามืด
วิ่งเรือตัดท้องทะเลมาทั้งใกล้....และไกล....
ตั้งแต่อำเภอระโนด สทิงพระ สิงหนคร เมือง จะนะ และเทพา
 
พวกเขาบอกว่าเรือปั่นไฟปลากะตัก
มันกวาดสัตว์น้ำเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เรือขนาดใหญ่
ใช้แสงไฟล่อ
ให้ปลากะตักตามมา
และกระตุกไฟ ปลาจะรวมตัวเป็นฝูงใหญ่
เป็นก้อนมหึมา ใต้ท้องน้ำ
แล้วก็จะถูกจับขึ้นมาด้วยอวนครอบขนาดใหญ่
แต่ตาอวนเล็กนิดเดียว
 
แน่นอน...ไม่เพียงปลากะตักเท่านั้น
แต่ลูกปลาตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลาย
ที่มาตามแสงไฟล่อก็ติดมาด้วย
ปลาทู ปลาอินทรี ปลากุเลา
ปลาสาก ปลาดาบ ปลาสีกุน
ปลาเชก-ล้า ปลาข้างเหลือง และอีกมากมาย
รายชื่อปลาเรียงรายที่ชาวประมงเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเรียงลำดับเหมือนเดิมแทบทุกครั้งเมื่อพูดเรื่องนี้
เราฟังจนติดหู
และเชื่อว่าพวกเขาคงพูดกันมานานมากแล้ว
หลายร้อยครั้ง หรืออาจมากกว่านั้น
ก่อนที่เราจะได้ฟังเรื่องนี้
 
โห!....ปลาอินทรี ถูกจับไปตอนที่มีขนาดเท่าปลากะตัก
ซึ่งไม่รู้กี่ร้อยตัวจึงจะได้ 1 กิโลกรัม
ในขณะที่ปลาอินทรีขนาดที่เป็นอาหารของเรานั้น
ตัวเดียวมีตั้งแต่ 1 กิโลขึ้นไป จนถึง 10 กิโลก็มี
แล้วนี่มันจะสูญเสียขนาดไหนกันนี่
เราสู้เราเรียกร้องอย่างยาวนาน
คนไม่มีเงิน ไม่มีอิทธิพล
ใช้แรงกาย แรงใจ ใช้หมดทุกอย่าง....ทุกครั้ง
จนในที่สุดได้ กฎหมายระดับจังหวัดออกมา
เป็น--ประกาศจังหวัดสงขลา--
--“ห้ามทำการประมงปั่นไฟปลากะตักในเขตจังหวัดสงขลา”--
แต่เพียงไม่กี่วัน ประกาศก็กลายเพียงกระดาษไร้ค่า!!!
แสงไฟวิบวับระยิบระยับยังคงปรากฏบาดตาบาดใจอยู่ในท้องทะเล
เพราะเรือปั่นไฟยังคงออกกวาดจับลูกปลาต่อไป
ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นจริงดังประกาศที่ออกมา
 
ลมยังคงพัดแรง ไม่มีท่าทีจะเบาลง
เสียงผ้าเต็นท์ยังคงสะบัด “พรึ่บ....พรึ่บ....”
แล้วผู้หญิงไม่กี่คนที่จับเสาเต็นท์อยู่
ก็ยิ้มออกมาแทบจะพร้อมกัน
เมื่อ “บังหมีด” ชายร่างสูงเดินตรงเข้ามา
พร้อมเสียงห้าวอันเป็นเอกลักษณ์
ตะโกนเป็นภาษาถิ่นดังมาแต่ไกลว่า...
“พรันพรือนิ พรันพรือๆๆ ล้มเต็นท์ลงข้างหนึ่งแหละ”
แล้วบังหมีด ก็เข้ามาจัดการด้วยวิธีการอันง่ายดาย
พร้อมรอยยิ้ม...
เขาล้มเต็นท์ลงด้านหนึ่งเพื่อมิให้ต้านแรงลม
โดยยังคงใช้เป็นที่หลบลมหลบฝนให้พวกเราได้ต่อไป
 
ก่อนที่ชาวประมงจำนวนมากจะตามมา
ผู้ชายอยู่ในเรือตากแดด ตากฝน โยกไปตามคลื่นลม
ผู้หญิง และเด็กอยู่บนฝั่ง อยู่ในเต็นท์ด้วยกันกับเรา
เต็นท์ขยายออกไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น
บังหมีดๆ ....ชื่อนี้ถูกเรียกเป็นประจำ
แล้วบทสนทนามักจะจบลงว่า
“เดี๋ยวบังหมีดจัดการเอง”
เขาอยู่ในกลุ่มพี่น้องประมงพื้นบ้าน
ไม่ได้มีเงินทองมากมาย
มีเพียงความสามารถ และน้ำใจ
ทั้งเรื่องเครื่องเสียง อุปกรณ์ต่างๆ
แทบจะพูดได้ว่าทุกอย่างที่เขาใช้ในการทำมาหากิน
ถูกเอามาใช้กับงานสาธารณะอยู่เสมอ
 
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
หลายสิ่งหลายอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ไม่แปลกหรอกที่วันนี้ บังหมีด กลับคืนสู่อ้อมกอดของอัลลอฮฺแล้ว
เมื่อวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2558
ไม่แปลกหรอก
ใครๆ ก็ต้องมีวันนี้
แต่ที่แปลกก็คือ “เรือประมงล้างผลาญ” เหล่านั้นยังคงอยู่
ทั้งเรือปั่นไฟปลากะตัก
อวนลาก และอวนรุน
ยิ่งไปกว่านั้นกำลังเดินมาถึงช่วงจังหวะ
การขอนิรโทษกรรมอวนลากจากกรมประมง
จากภาครัฐของเราอีกต่างหาก
เพื่อให้ “เรือเถื่อน” จำนวนมาก
กลับมาล้างผลาญทรัพยากรอย่างถูกกฎหมาย
 
จึงอยากเชิญชวน “คนกินปลา” ทุกท่านว่า
มาร่วมดูแล กุ้ง หอย ปู ปลา ไว้ให้ลูกหลานด้วยกันเถอะ
มาช่วยกันดูแลทะเลให้อุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต
เหมือนที่ปู่ ย่า ตา ยาย เคยดูแลไว้ให้เรา....
 
กรกฎาคม ๒๕๕๘
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น