ตรัง - “สุรินทร์ โตทับเที่ยง” แถลงยืนยันหลังจากที่ตน และคณะผู้บริหารเข้ามาดูแล “ปุ้มปุ้ย” นับตั้งแต่เกิดวิกฤตทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ชี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่กระทบ ยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป
วันนี้ (22 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ธุรกิจในเครือปุ้มปุ้ยปลายิ้ม แถลงเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ว่า บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ “ปุ้มปุ้ย” ก่อกำเนิดเป็นบริษัทจำกัดเมื่อปี 2521 และในปี 2537 ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ต่อมาเมื่อปี 2538 ได้นำกิจการเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีผู้ถือหุ้นรายย่อยเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของกิจการนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งนี้ กิจการของปุ้มปุ้ย หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการมาได้ด้วยดีระดับหนึ่ง จนกระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ปุ้มปุ้ยก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้หนี้สินจากการกู้ยืมเงินต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในชั่วข้ามคืน ตนและฝ่ายบริหาร ตัดสินใจนำกิจการเข้าปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นคนกลาง ซึ่งเจ้าหนี้ 17 สถาบันการเงินยอมผ่อนปรนใช้เครื่องมือทางการเงินโดยขยายการชำระหนี้ มีการแปลงหนี้เป็นทุนบางส่วน และตั้งหนี้ไว้ในอนาคต โดยในช่วงเวลา 6 ปีภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ตนและฝ่ายบริหารสามารถเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จ ทำให้หุ้นของปุ้มปุ้ยที่อยู่ในกลุ่ม SP มาตั้งแต่ปี 2540 จึงได้กลับมาซื้อขายอีกครั้งในปี 2546
นายสุรินทร์ แถลงอีกว่า เมื่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทในเครือปุ้มปุ้ยเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แต่ยังมีการใช้จ่ายในงบประมาณที่สูงไม่ได้สัดส่วนต่อรายได้ บริษัทจึงมีผลขาดทุน และถูกตั้งสำรองหนี้ ทำให้หุ้นของบริษัทถูกระงับการซื้อขายอีกครั้งในปี 2548 โดยถูกกำหนดให้อยู่ในกลุ่ม SP และ Non Performing Group (NPG) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จนสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ตนและฝ่ายบริหารจึงเริ่มเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารอีกครั้ง ทั้งนี้ เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่บริษัทไม่สามารถมีผลประกอบการที่เป็นกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากบริษัทยังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อาจจะส่งผลให้ถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2558 ซึ่งจะเป็นความเสียหายใหญ่หลวงต่อผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่ และรายย่อย
อีกทั้งยังปรากฏว่า ตั้งแต่ต้นปี 2557 ฝ่ายบริหารชุดเดิมมีการกระทำที่เข้าข่ายต่อการกระทำผิดธรรมาภิบาล โดยให้การสนับสนุนธุรกรรมต่อบริษัทการค้าแห่งหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพียง 600,000 บาท นำธุรกรรมการค้าเงินสด บุคลากร และอุปกรณ์ รถยนต์ฝ่ายขายของปุ้มปุ้ยไปใช้ดำเนินการ ซึ่งฝ่ายตรวจสอบพบว่า มีความสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดทางกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่ธุรกรรมการค้าของบริษัท ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทเสียงส่วนใหญ่จึงต้องมีมติให้หยุดธุรกรรมที่มีปัญหาทั้งหมด และมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้อง เป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจนปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี นายสุรินทร์ แถลงอีกว่า คณะผู้บริหารชุดใหม่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 ได้พยายามปรับปรุงการบริหารงาน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มยอดขาย ทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตรงตามเกณฑ์ที่จะขอกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ปรากฏดังนี้ ไตรมาสที่ 3/2557 ขาดทุน 17.60 ล้านบาท ไตรมาสที่ 4/2557 กำไร 10.82 ล้านบาท ไตรมาสที่ 1/2558 กำไร 7.6 ล้านบาท ไตรมาสที่ 2/2558 (ยอดยังไม่ได้ตรวจสอบ เม.ย.-พ.ค.) กำไร 9.71 ล้านบาท รวมกำไร 10.54 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทในเครือปุ้มปุ้ยขอยืนยันว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลต่อการบริหารกิจการแต่อย่างใด บริษัทยังคงมียอดจำหน่ายสินค้าที่สูงขึ้น มีผลประกอบการที่ดีขึ้น และมีแผนงานที่จะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าออกไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ปุมปุ้ย คำนึงถึงประโยชน์ของมหาชนเป็นที่ตั้ง และกำลังดำเนินการนำบริษัทกลับเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอเชิญชวนผู้ถือหุ้นทุกท่านเข้าร่วมสนับสนุนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 ของบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) สำนักงานกรุงเทพฯ โดยพร้อมกัน