กระบี่ - พบเพิ่มอีก 4 ชิ้น กระดูกฟันกรามสัตว์ใหญ่ในพื้นที่แปลงปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่อ่าวช่องโคลน ตำบลทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ หลังขุดพบ 5 ชิ้น ก่อนหน้านี้ ด้านเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณีตรวจจากภาพถ่ายเบื้องต้นคาดว่า เป็นกระดูกฟันกรามของช้างสายพันธุ์เอเชีย เตรียมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (30 พ.ค.) นายนิวัฒน์ วัฒนยมนาพร กรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วย นายบุญฤกษ์ เต้บำรุง ผู้ใหญ่บ้านทับปริก ได้เดินทางลงพื้นที่แปลงปลูกปาล์มน้ำมันของบริษัท กระบี่ปาล์ม จำกัด บ้านอ่าวช่องโคลน ม.5 ต.ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ เพื่อสำรวจแหล่งพบฟอสซิลฟันกรามของสัตว์ขนาดใหญ่ เท่าฝ่ามือ รวม 5 ชิ้น เรียงซ้อนกัน หลังจากที่คนงานขุดหลุมปลูกต้นกล้าปาล์มน้ำมันพบเมื่อเย็นวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยมี นายนายพิเชษฐ์ ผดุงสุวรรณ ผู้จัดการสวน บริษัท กระบี่ปาล์ม นำไปตรวจสอบจุดที่พบ พร้อมกับให้คนงานขุดหาชิ้นส่วนเพิ่มเติม ปรากฏว่า พบฟอสซิลกระดูกสัตว์ใหญ่เพิ่มอีก 4 ชิ้น และเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกจำนวนกว่า 10 ชิ้น จึงเก็บใส่ถุงไว้เพื่อรอเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี เข้ามาตรวจสอบพร้อมบันทึกภาพ เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบในเบื้องต้น
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังทราบว่ามีการขุดพบฟอสซิลกระดูกฟันกรามสัตว์ขนาดใหญ่ ก็ได้เข้าตรวจสอบ และได้ส่งภาพไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟอสซิล กรมทรัพยากรกรณี ในเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นกระดูกฟันกรามของช้างสายพันธุ์เอเชีย คาดว่าอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ส่งภาพถ่ายสภาพพื้นที่โดยรอบไปให้ดู เพื่อประกอบการวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ตรวจสอบพื้นที่คนงานได้ขุดพบกระดูกฟันกรามเพิ่มเติมอีก 4 ชิ้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับที่พบก่อนหน้านี้ในบริเวณจุดเดียวกัน และเศษชิ้นส่วนกระดูกขนาดเล็กอีกจำนวนมาก
นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับสภาพพื้นที่ที่ขุดพบฟอสซิลกระดูกดังกล่าวเป็นแปลงปลูกปาล์มน้ำมันไม่ต่ำกว่า 30 ปีมาแล้ว ปัจจุบัน มีการนำเครื่องจักรเข้ามาปรับพื้นที่เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันรุ่นใหม่ ทำให้สภาพพื้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนบริเวณที่พบก็เป็นกองดิน และขุดลงไม่ลึกมากก็พบกระดูกฟันกรามดังกล่าว น่าจะเป็นดินที่ขุดลอกขึ้นมาจากร่องน้ำภายในแปลงปลูกปาล์ม คาดว่าจุดที่พบกระดูกฟันกรามน่าจะอยู่ในร่องน้ำห่างจากจุดที่พบประมาณ 6 เมตร ซึ่งหลังจากนี้จะต้องให้เจ้าหน้าที่จากกรมทรัพย์ลงมาสำรวจอีกครั้ง