คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ผ่านไปแล้ว 7 วัน สำหรับเหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถยนต์ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็น 7 วันที่เกิดอาการ “ฝุ่นตลบ” ไปทั้งประเทศ เนื่องจากผลการสืบสวนสอบสวนยังไม่มีอะไรคืบหน้าว่า สาเหตุที่แท้จริงของการก่อวินาศกรรมครั้งนี้เป็นฝีมือของใคร
เพราะหลังสิ้นเสียงระเบิดเพียงไม่กี่มากน้อย เสียงจากฝากรัฐบาล ทั้งจากฝั่ง “กลาโหม” และ “กองทัพบก” ต่าง “ฟันธง” โดยไม่ต้องรอพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุว่า เป็นฝีมือของ “กลุ่มอำนาจเก่า” ไม่ใช่เรื่องการขยายอาณาเขตของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
คำว่า “อำนาจเก่า” ที่ถูกกล่าวถึงจึงถูกใครต่อใครตีความไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นอำนาจเก่าของ “รัฐบาลเก่า” นั่นย่อมหมายถึง “เพื่อไทย” และหากเป็นเช่นนั้นจริง อำนาจเก่าย่อมเป็น “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องหมายรวมถึงนักการเมืองในสายของเพื่อไทยด้วย
ดังนั้น เมื่อรถยนต์ที่ถูกนำไปประกอบเป็นคาร์บอมบ์ถูกปล้นไปจากพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา นักการเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็น “อดีต ส.ส.” ที่อยู่ใต้ร่มธงของพรรคเพื่อไทย รวมถึง “ข้าราชการ” ส่วนหนึ่งที่ในอดีตเคยใกล้ชิดกับแกนนำพรรคเพื่อไทย คนเหล่านี้จึงอยู่ในข่ายที่ต้องสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมวงไพบูลย์ต่อเหตุการณ์คาร์บอมบ์บนเกาะสมุยที่เกิดขึ้นหรือไม่
เหตุการณ์คาร์บอมบ์ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ที่เกาะสมุย จึงไม่เพียงเป็นการสร้างความสับสนอลหม่านให้แก่บรรดาอดีต ส.ส. อดีตนักการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
แต่ได้สร้างความโกลาหลให้แก่เจ้าของธุรกิจการท่องเที่ยวที่ต่างวิตกกังวลว่า ธุรกิจพวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย และยิ่งข่าวนี้ถูกลากยาวไปเท่าไหร่ ความฉิบหายก็จะเกิดแก่การท่องเที่ยวมากเท่านั้น
ดังนั้น หากฝ่ายการเมือง หรือรัฐบาลเชื่อว่ามีหลักฐาน มีพยาน มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ และมีเหตุมีผลควรแก่การเชื่อถือว่า ผู้ที่สั่งการให้ทำเกิดการก่อวินาศกรรมห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล บนกาะสมุยเป็นกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งต้องมีชื่อ และนามสกุลอยู่ในบัญชีดำแล้วด้วย
จึงควรจะต้องเร่ง “ปิดดีล” คดีคาร์บอมบ์ครั้งนี้ด้วยการให้รายละเอียดแก่สังคมเพื่อป้องกันความสับสน และป้องกันความแตกแยกที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
เนื่องจากการให้ข่าวแบบรายวันของฝั่งรัฐบาลที่ตอกย้ำตลอดเวลาว่า คาร์บอมบ์บนเกาะสมุย เป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า สิ่งนี้ได้สร้างความแตกแยก ความไม่เข้าใจ และอาจจะเกิด “ความเจ็บแค้น” ต่อกลุ่มอดีตนักการเมือง รวมทั้งมวลชนผู้ที่ยืนอยู่ในฟากของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
เพราะคนเหล่านี้เชื่อว่าการออกมาให้ข่าวแบบรายวันโดยที่ยังไม่พบ หรือเห็นหลักฐานนั้นถือเป็นการ “ป้ายสี” ผู้คนที่อยู่ในฟากของพรรคเพื่อไทย ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้เป็นบรรยากาศที่ไม่ดีต่อสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
สังเกตได้ว่า หลังเหตุการณ์ที่ทหาร และตำรวจวิสามัญประชาชน 4 ศพที่บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยลดน้อยลง กลับทวีความเร่าร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวไทยพุทธ 7-8 ราย ถูกทำร้ายเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องจากฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งเรื่องนี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้คนที่เสียชีวิตล้วนมาจาก “เงื่อนไข” การวิสามัญ “มุสลิม” ผู้บริสุทธิ์ทั้ง 4 ศพนั่นเอง
ดังนั้น การกล่าวหาแบบลอยๆ ว่ามีนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลังในการจัดฉากคาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถของห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล บนเกาะสมุย โดยที่ยังไม่สามารถหา “หลักฐาน” อะไรมามาแสดง
จึงอาจจะกลายเป็นอีก “เงื่อนไข” หนึ่งที่อาจจะเพิ่มความรุนแรงให้เกิดขึ้น โดยจะมีผู้บริสุทธิ์ที่เป็น “ไทยพุทธ” ต้องตกเป็นเหยื่อของการบัดพลีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ยังเป็น “ข้อข้องใจ” ของผู้คนหลายฝ่ายคือ ทำไม่หน่วยงานทุกหน่วยจึงเชื่อมั่นว่าคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยเป็นฝีมือของคนในฝ่ายอำนาจเก่า ทำไมจึงมีการรีบร้อนปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นการปฏิบัติการของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ทั้งที่หลังเกิดเหตุขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ว่าเป็น “พูโล” หรือ “บีอาร์เอ็นฯ” รวมหมายถึงกลุ่มอิสระอย่าง “กลุ่มนักรบปัตตานี” หรือ “กลุ่มมูจาฮีดิน” ก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธว่าคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาเหล่านั้น
ที่สำคัญหน่วยงานของรัฐมีหลักฐานอะไรที่เชื่อมั่นว่า “แนวร่วม” ของขบวนการแบ่งแยกกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ ไม่ต้องการขยายพื้นที่การก่อความไม่สงบให้ขยายวงจากพื้นที่ 4 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา
ทำไมจึงมีการ “รีบปฏิเสธแทนโจร” ทั้งที่โจรทุกขบวนการก็ยังไม่ได้ออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มพวกเขาไม่ได้เป็นผู้กระทำ และเชื่อได้อย่างไรว่าโจรเหล่านี้ “ไม่มีขีดความสามารถ” ในการที่จะก่อเหตุนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในเมื่อการก่อเหตุไม่ว่าจะนอก หรือในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านๆ มา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความหละหลวม” ของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ส่วนวิธีการปฏิบัติการนั้นเป็นเรื่องของการวางแผนต่างหาก
การวางระเบิดในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้สำหรับโจรเหล่านี้แล้ว ต้องนับเป็นเรื่อง “ยาก” กว่าการวางระเบิดนอกพื้นที่เสียด้วยซ้ำ เพราะในพื้นที่ไฟใต้มีการป้องกันอย่างเข้มงวด มีกำลังเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก และยังมากมายไปด้วยเจ้าหน้าที่การข่าว รวมทั้งประชาชนที่เป็นจิตอาสาในรูปแบบต่างๆ
แต่โจรมันยังปฏิบัติการได้สำเร็จ เช่น การวางระเบิดแสวงเครื่อง 5 ลูก ในพื้นที่ 4 จุดที่กลางเมืองปัตตานี เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
ดังนั้น ถ้า “โจรใต้” จะนำเอาคาร์บอมบ์ไปก่อวินาศกรรมนอกพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องใช้คนแยะเหมือนกับที่ใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ด้วยซ้ำ
เนื่องเพราะ “จุดแข็ง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในเวลานี้คือ การสร้าง และการมี “เครือข่าย” อยู่ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้คือผู้ที่ทำหน้าที่ “เชื่อมโยง” กับกลุ่มของขบวนการนั่นเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้คือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใน “หลักคิด” ของการต่อสู้ และยังคง “ยุทธศาสตร์” ในการต่อสู้อยู่ที่ “การแบ่งแยกดินแดน” หรือไม่ก็ “การปกครองตนเอง” และไม่ได้คาดหวังว่าแนวทางใน “การพูดคุยสันติสุข” กับรัฐบาล จะเป็นทางออกที่พวกเขาต้องการ
ยุทธศาสตร์ “มลายู อิสลาม ปัตตานี” และการขอมีสิทธิในการปกครองตนเองยังถูกนำมาขยายความในการปลุกระดมเพื่อสร้าง “มวลชน” ของฝ่ายขบวนการ และยังได้รับการตอบรับจาก “เยาวชน” ในพื้นที่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต่างรู้ดีถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพียงแต่กล้าที่จะรับความจริงหรือไม่เท่านั้น
คาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยต้องเร่งคดีคลี่คลายให้ได้โดยเร็ว โดยฝ่ายการเมืองและผู้กุมอำนาจรัฐต้องอย่าออกมา “ชี้นำ” การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตำรวจคือ ผู้ชำนาญการในเรื่องของ “อาชญากรรม” รวมทั้งเข้าใจ และรู้จักวิธีการของ “อาชญากร” ดีกว่าคนจากหน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น
จึงอย่าได้มีการ “ตั้งธง” ล่วงหน้าเพื่อให้ตำรวจเดินไปทางที่กลุ่มการเมือง หรือกลุ่มกุมอำนาจรัฐต้องการ
เพราะสุดท้ายแล้ว คาร์บอมบ์ที่ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล บนเกาะสมุยอาจจะกลายเป็นการรักษาโรคที่ไม่ถูกต้อง เช่น เจ็บที่หัวเข่า แต่ดันไปพอกยาที่บั้นเอว ถึงจะใช้แพทย์ที่เชี่ยวชาญหมดทั้งประเทศก็ไม่มีทางรักษาโรคให้หายขาดได้
หากการคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์บนเเกาะสมุยยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างว่าแต่ 7 วันที่มองไม่เห็นความคืบหน้าอะไรเลย ต่อให้อีก 7 เดือน ก็จะยังอยู่ในวังวนเหมือนเดิม