ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - หน่วยข่าวกรองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชี้ระเบิดเซ็นทรัลฯ สมุย เป็นฝีมือของนักรบมูจาฮีดิน เชื่อเป็นการสั่งการจาก สะแปอิง บาซอ เร่งสอบเชื่อมโยงหาผู้จ้างวาน ตั้งข้อหา “อับดุลรอซะ ดูมีแด” ร่วมโจรใต้ ภาค 9 สชต.ส่งมือดีลงพื้นที่สอบแหล่งกลบดานของรถ “คาร์บอมบ์” ก่อนเดินทางไปเกาะสมุย
วันนี้ (15 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ ผบช.ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) เปิดเผยว่า จากการที่ได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา พบว่า รถยนต์ที่เป็นของ อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งถูกคนร้ายแต่งกายชุดดำคล้ายทหารพราน ทำการปล้นไปเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ถูกคนร้ายขับผ่านหน้า สภ.สิงหนคร เมื่อเวลา 16.00 น.ของวันที่ 9 เม.ย. แสดงให้เห็นว่า รถยนต์คันดังกล่าวหลังถูกปล้นยังอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด เป็นเวลา 10 วัน จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนของ ศชต. ตรวจสอบหาแบะแสที่ ซ่อน และดัดแปลงรถคันดังกล่าวเพื่อที่จะได้สาวไปถึงขบวนการผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีการเชื่อมโยงกับแนวร่วมในพื้นที่ จ.ยะลา และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา
โดยแหล่งข่าวของชุดสืบสวน ศชต. ได้ให้รายละเอียดว่า หลังจากคนร้ายได้ปล้นรถจากพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลาแล้ว ได้ขับรถคันดังกล่าวผ่านจุดตรวจร่วม ต.สะเตง อ.เมืองยะลา เข้าไปยัง อ.กรงปีนัง ซึ่งเชื่อว่าในพื้นที่ อ.กรงปีนัง เป็นที่ดัดแปลงรถยนต์ และใช้ประกอบ “คาร์บอมบ์” เพราะคดีการปล้นรถตู้ไปวางระเบิดหน้าโรงแรมเบตง อ.เบตง จ.ยะลา คนร้ายก็ใช้พื้นที่ อ.กรงปีนัง ในการ ดัดแปลงรถ และประกอบระเบิดเช่นกัน
ส่วนอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการส่งชุดสืบจาก ศชต. รวมกับชุดสืบของ ภ.จว.สงขลา เข้าไปหาข่าวคือ อ.สะบ้าย้อย เนื่องจากรถคันดังกล่าวออกจากพื้นที่กรงปีนัง จ.ยะลา โดยใช้ถนนสายในหมู่บ้านผ่านพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย เพื่อลัดเลาะถนนเลียบฝั่งทะเล อ.จะนะ ไป ออกยัง อ.เมือง สงขลา ก่อนที่จะข้ามสะพานติณสูลานนท์ เข้าพื้นที่ อ.สิงหนคร สทิงพระ ระโนด และผ่านเข้า อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
ผู้สื่อข่าวรายว่า หลังจากมีการตรวจพบรถคนร้ายผ่านทาง อ.สิงหนคร จ.สงขลา เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ชุดสืบสวนของ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมกับชุดสืบสวนของ ภ.จว.สงขลา ได้ทำการตรวจสอบเส้นทางของรถคาร์บอมบ์คันดังกล่าวเพื่อหาจุดเชื่อมโยงของคนร้ายว่ามีการแวะพักรถยนต์ที่ไหนบ้าง รวมทั้งหาเบาะแสของรถยนต์อีก 2 คัน ที่ร่วมอยู่ในการก่อเหตุร้ายครั้งนี้
ซึ่งจากการประชุมร่วมกันของชุดสืบ ทั้งของ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ภ.จว.สงชลา และของ ศชต. ต่างสรุปตรงกันว่า คนร้ายกลุ่มนี้เป็นชุดปฏิบัติการมืออาชีพที่มีความใจเย็น และมีการวางแผนเป็นอย่างดี เพราะหลังการปล้นรถยนต์ ทั้งที่มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่จุดตรวจ จุดสกัด และตำรวจทุก สภ.ตั้งด่านเพื่อจับกุม แต่คนร้ายยังอยู่ในพื้นที่ถึง 10 วัน โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับกุม ซึ่งในการลงความเห็นเบื้องต้นของชุดสืบสวนเชื่อว่า คนร้ายประกอบระเบิดในพื้นที่ 4 จังหวัด หรือไม่ก็ในพื้นที่ระหว่าง จ.นครศรีธรรมราช กับสุราษฎร์ธานี เพราะมีระยะเวลา 10 ชั่วโมงในการเดินทาง ซึ่งเส้นทางระหว่างสงขลา กับ อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี นั้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง จึงมีเวลาในการประกอบระเบิด
ดังนั้น ชุดสืบสวนจึงทำการเช็กเส้นทางเพื่อหาจุดพักรถยนต์ และเช็กหากลุ่มเครือข่ายของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประกอบอาชีพในอำเภอต่างๆ ระหว่าง สงขลา กับ อ.ดอนสัก โดยมีการตรวจสอบรายชื่อกลุ่มค้ายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยมีการเน้นพื้นที่บางแห่ง เช่น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีคนใน 3 จังหวัดอาศัยอยู่มากเพื่อหาเบาะแส
ส่วนการสอบสวนผู้ต้องสงสัย จำนวน 6-7 คน ที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ได้ควบคุมตัวไว้ที่ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี นั้น รายงานข่าวจากชุดซักถามแจ้งว่า การซักถามเน้นไปที่ข้อมูลของกลุ่มเครือข่ายคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อยู่ในพื้นที่ อ.เกาะสมุย และพื้นที่อื่นๆ ใน จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อหาจุดเชื่อมโยงกับกลุ่มของผู้วางระเบิด ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสของเครือข่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนจำนวนหนึ่ง เนื่องจากเจ้าหน้าที่เชื่อว่า การวางระเบิดครั้งนี้ต้องมีแนวร่วมของขบวนการเป็นผู้ประสานงานอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ และในพื้นที่ใกล้เคียง
ส่วนในการสอบสวน นายอับดุลรอซะ ดูมีแด พนักงานขับรถ อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถาม กรมทหารพรานที่ 41 จ.ยะลา นั้น ล่าสุด พ.ต.อ.ปพนวัฒน์ ขัติยะวรานันท์ ผกก.สภ. ยะหา จ.ยะลา เปิดเผยว่า คำให้การของ นายอับดุลรอซะ มีพิรุษหลายอย่าง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และคำให้การในครั้งแรก โดยขณะนี้ได้มีการแจ้งข้อหาร่วมกันกับคนร้ายในการปล้นรถยนต์คันดังกล่าว ส่วนจะมีส่วนร่วมในการนำรถยนต์ไปประกอบเป็นคาร์บอมบ์ด้วยหรือไม่ ศูนย์ซักถามยังทำการซักถามต่อไป ซึ่งทางทหารยังใช้อำนาจในการควบคุมตัวอยู่ และจะครบ 7 วัน ในวันที่ 17 เม.ย. ซึ่งจะได้ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป
สำหรับความคืบหน้าของกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ หน่วยข่าวกรองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า ผู้ที่เข้าร่วมขบวนการก่อเหตุในครั้งนี้คือ กลุ่มของนักรบมูจาฮีดินปัตตานี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยต่อการพูดคุยสันสุข ที่รัฐบาลต้องการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น พูโล และกลุ่มต่างๆ โดยกลุ่มมูจาฮีดินเป็นกลุ่มที่ยังยึดมั่นการแบ่งแยกดินแดน หรือการเป็นเขตปกครองพิเศษตามอุดมการณ์ ซึ่งในกลุ่มนี้มีเยาวชน และปัญญาชนเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหว และล่าสุด ผลงานของกลุ่มมูจาฮีดิน คือ การวางระเบิดแสวงเครื่องที่อุทยานน้ำตกทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา
โดยหน่วยข่าวกรองเปิดเผยว่า การกระทำของกลุ่มมูจาฮีดิน จะมีเป้าหมายอยู่ที่สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งบันเทิงที่เป็นอบายมุข โดยเน้นการทำลายเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และมีข้อสังเกตว่า การกระทำของกลุ่มนี้จะไม่เน้นในการให้เกิดมีผู้คนล้มตาย แต่เนินให้เห็นว่ากลุ่มของตนมีศักยภาพในการก่อการร้ายได้ ซึ่งหลายครั้งที่หน่วยข่าวกรองพบว่า การวางระเบิดของกลุ่มนี้ สามารถที่จะสร้างความสูญเสียได้มาก แต่ก็มีการหลีกเลี่ยง เช่น การวางระเบิดที่เกาะสมุย คนร้ายสามารถนำรถยนต์ไปจอดในที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น ยานสถานบันเทิง หรือให้ระเบิดทำงานในเรือเฟอร์รี่ได้ แต่ไม่ได้ทำ กลับไปวางระเบิดที่ลานจอดรถซึ่งมีคนน้อย แสดงให้เห็นว่าถ้าต้องการที่จะทำให้เกิดความเสียหายมากก็ได้ แต่ไม่ทำ
ในขณะที่หน่วยข่าวกรองที่ถูกส่งไปหาข่าวในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อหาจุดเชื่อมโยงของกลุ่มอำนาจเก่าที่อาจจะถูกว่าจ้างให้คนร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปวางระเบิดที่เกาะสมุย ตามที่มีข่าว ได้รายงานว่า ในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่พบว่าคนของกลุ่มอำนาจเก่าข้ามไปพบปะกับแกนนำของบีอาร์เอ็น และพูโลแต่อย่างใด แต่มีการตรวจสอบพบว่า เมื่อเดือนมีนาคม ก่อนมีการปล้นรถยนต์ของ อบต.ละแอ นายสะแปอิง บาซอ แกนนำใหญ่ของบีอาร์เอ็น ได้เดินทางมาประชุมแกนนำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รัฐเกดะห์ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดของการพบปะ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้สั่งการให้มีการการขยายพื้นที่การก่อการร้ายครั้ง
เพราะนายสะแปอิง คืนแกนนำที่ปฏิเสธการเจรจากับรัฐบาล ตั้งแต่ครั้งที่ น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยในสมัยนั้น รัฐบาลมาเลเซียได้ขอร้องให้ นายสะแปอิง เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียชั่วคราว เพื่อให้การพูดคุย หรือเจรจาสันติภาพตามนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีต นายกรัฐมนตรี มีความเป็นไปได้