ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เผยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเสนอแนะกฎหมาย พร้อมให้ความร่วมมือการทำงานในฐานะแม่น้ำ 5 สาย หวังนำประเทศสู่การเลือกตั้ง ย้ำไม่เห็นด้วยเรื่องการถอดถอนสิทธิแม่น้ำ 5 สาย รวมทั้ง ส.ว.ที่มาจาการเลือกตั้งทางอ้อม
วันนี้ (15 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 เป็นประธานเปิดโครงการ “เสริมสร้างความพร้อมแก่ท้องถิ่นหลักสูตรกระบวนการเสริมสร้างผู้นำนักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” โดยมีผู้นำจากภาคราชการ ผู้นำท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา ศิลปินพื้นบ้าน และสื่อมวลชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วม 120 คน เพื่อชี้แจงถึงสถานการณ์การทางการเมือง และการปฏิรูปประเทศว่าอยู่ในช่วงไหน และนำเป็นส่วนเสริมสภาปฏิรูป ครม.และ คสช.
นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ 2 เปิดเผยว่า บทบาทของ สนช.ขณะนี้ทุกภาคส่วนเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะการออกกฎหมายมากขึ้น ซึ่งพร้อมที่จะรับฟัง และนำเสนอต่อรัฐบาลให้กฎหมายออกมามีประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ภารกิจของแม่น้ำ 5 สาย ตามรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) ฉบับ 2557 ที่จะนำประเทศไปสู่การเลือกตั้ง และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกครั้ง ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด ทุกองค์กรมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ การนำประเทศให้เกิดความสงบสุข สร้างกติกาของประเทศเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปในอนาคต ซึ่งทั้ง 5 องค์กรมีการพบปะกันทุกเดือน
ส่วนประเด็นที่กรรมาธิการบางคนได้เสนอให้มีการถอดถอนสิทธิแม่น้ำทั้ง 5 สายนั้น โดยความเห็นส่วนตัวไม่เห็นด้วย และมองว่า ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 กำหนดให้กรรมาธิการยกร่างต้องเว้นวรรค 2 ปี แต่ในส่วนของ สนช.ไม่มีการสมัครทาง คสช. และคัดเลือกเข้ามาและไม่ได้มีการตั้งกติกาไว้ก่อนแล้วทำไมต้องมาตั้งกติกาขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ หากรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร ทาง สนช.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปก็ยินดีปฏิบัติตามนั้น
เช่นเดียวกับประเด็นของ ส.ว.ที่ให้มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมทั้งหมด ซึ่งตนได้แสดงความคิดว่า ส่วนหนึ่งต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในแต่ละพื้นที่ หากถูกตัดออกจากระบบก็จะขาดการเชื่อมโยงกับประชาชน
