xs
xsm
sm
md
lg

สายใยแก๊ง “พงศ์พัฒน์-โกวิท” โยงส่วยนำมันเถื่อนและธุรกิจมืดภาคใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังถูกจับกุม
 
โดย...ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

การจับกุมแก๊งสีกากีนำโดยนายตำรวจใหญ่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก) และพวก ซึ่ง 1 ในข้อกล่าวหาสำคัญที่ถูกระบุไว้คือ การเรียกรับสินบนหรือส่วยจากธุรกิจผิดกฎหมายหลายประเภท แต่ที่ต้องนับว่าสำคัญยิ่งและเกี่ยวข้องกับภาคใต้ นั่นคือ “ส่วยน้ำมันเถื่อน” ซึ่งธุรกิจมืดประเภทนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดด้ามขวานทองของไทยนั่นเอง

ความจริงแล้วธุรกิจการค้าน้ำมันเถื่อนถูกจับตามองจาก “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.)” มาอย่างต่อเนื่อง ถึงกับต้องตั้งชุดปฏิบัติการปราบปรามภัยแทรกซ้อนมาติดตามเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน (ปปง.) ทำการตรวจสอบเส้นทางการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลต้องสงสัยพัวพันกับธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน

เนื่องจากมีข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่า เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ถูกส่งไปอุดหนุนกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ที่กำลังก่อ “ไฟใต้” ให้คุกรุ่นและลุกลามอยู่บนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้

ทั้งนี้ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน” กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” หากจะเปรียบไปก็เหมือนกับน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หากไฟใต้ยังโชนเปลวกิจการค้าน้ำมันเถื่อนก็เคลื่อนไหวโยกย้ายขนถ่ายได้อย่างสะดวก และเมื่อกลุ่มทุนที่ค้าขายน้ำมันเถื่อนมีสภาพคล่องทางการเงิน เม็ดเงินจำนวนมากก็จะไหลไปช่วยเหลือกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐนั่นเอง
 
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่หน่วยข่าวกรองเชื่อว่ากลุ่มก่อความไม่สงบได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจผิดกฏหมายในพื้นที่
 
ทว่าอีกด้านหนึ่งก็มีข่าวที่ชี้ชัดว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนได้จ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐด้วย และกระจัดกระจายไปในหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีกองกำลัง มีหน้าที่และดูแลการปราบปรามธุรกิจมืดประเภทนี้โดยตรง

ตัวเลขที่มีการประเมินและเป็นที่ยอมรับกันแล้วก็คือ ในแต่ละปีกลุ่มนายทุนน้ำมันเถื่อนจะต้องจ่ายส่วยให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่รวมแล้วเป็นเงินหลายพันล้านบาท

ข้อมูลจากหลายแหล่งยืนยันตรงกันว่านับตั้งแต่ต้นปี 2547 ที่ไฟใต้ระลอกใหม่ได้ปะทุรุนแรงขึ้นจากฝีมือของระบอบทักษิณ โดยสั่งการให้มีการรื้ออำนาจการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งใหญ่ สั่งทุบทิ้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหารที่ 43 (พตท.43) แล้วมอบอำนาจทั้งหมดให้ไปขึ้นอยู่กับตำรวจ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินใต้ในเวลานั้นมีการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่า ไม่ต่างอะไรจากการที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร เอาเท้าแหย่ลงไปกวนอำนาจรัฐที่จัดการปัญหาไฟใต้

นับแต่นั้นเป็นต้นมานอกจากจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว อีกด้านหนึ่งพบว่าธุรกิจค้าของเถื่อนตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียก็เฟื่องฟูอย่างสุดขีด โดยเฉพาะขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่มีการลักลอบขนเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางทะเล ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย

โดยการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนทางบกจะขนข้ามเข้ามาจากทุกด่านชายแดน และมีการจ่ายส่วยให้กับตำรวจเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ยังน้อยไปเมื่อเทียบกับส่วยจากการค้าน้ำมันเถื่อนที่ขนกันทางทะเล ซึ่งว่ากันว่าต้องจ่ายส่วยให้กับตำรวจและหน่วยงานอื่นๆ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 300 ล้านบาทหรืออาจจะมากกว่านั้น
 
บัญชีส่วยที่ยึดได้จากสำนักงานเสี่ยโจ้
 
1 ในกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนทางทะเลที่รู้จักกันดีคือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนควบคุมตัว และถูกดำเนินคดีในข้อหาปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ แต่ขณะนี้เสี่ยโจ้กลับหลบหนีไปได้อย่างมีเงื่อนงำ

ในการตรวจค้นสำนักงานของเสี่ยโจ้เมื่อปี 2555 หลักฐานสำคัญที่เจ้าหน้าที่ยึดได้คือบัญชีการจ่ายส่วยให้กับตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายหน่วยงาน นอกจากนี้พบว่ามีนายตำรวจที่ถูกเสี่ยโจ้อ้างถึงอย่างชัดเจนในจดหมายน้อยที่เขียนถึง นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือชื่อของ

“พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์” อดีตรองผู้บัญชาตำรวจสอบสวนกลาง

ผู้ซึ่งขณะนี้ตกเป็นจำเลยในหลายคดีและ 1 ในนั้นคือคดีรับสินบนน้ำมันเถื่อนร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยจดหมายที่เสี่ยโจ้ทำร้องเรียนต่อ นช.ทักษิณ ชินวัตร มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า...
 
ภาพความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยโจ้กับ นช.ทักษิณ
 
“กระผมทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันนอกน่านน้ำประเทศไทย ก่อนหน้านี้กระผมได้รบกวนบารมี ฯพณฯ มาแล้ว ก็แก้ไขได้ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มี “รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์)” ได้ส่ง “พ.ต.อ.สมชาติ ศุภวุฒิ” ลงมาเป็น “ผกก.ตำรวจน้ำสงขลา” ผมได้พยายามเจรจา ดูแล และช่วยภารกิจต่างๆ แต่ท่านโกวิทปฏิเสธไม่ยอมรับการดูแลของกระผม รวมถึงท่าน พ.ต.อ.สมชาติ ด้วย…

“โดยเฉพาะ พ.ต.อ.สมชาติ สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปิดท่าเรือในจังหวัดสงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ห้ามเรือในเครือข่ายของกระผมออกจากฝั่ง แต่อนุญาตให้คู่แข่งของกระผมทำการได้ โดยไม่จับกุม คอยกลั่นแกล้งกระผม ซึ่งก็ไม่ทราบเหตุผล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กระผมเองก็เคยดูแลมาโดยตลอด…

“กระผมเองพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎกติกาทุกประการ แต่การประกาศปิดเรือของกระผมนั้นไม่เป็นธรรม เป็นการเลือกปฏิบัติ กระผมทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันนอกน่านน้ำไทย ไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด กระผมทราบว่าท่านรองผู้บัญชาการโกวิท ร่วมมือกับนักธุรกิจน้ำมันรายใหม่ เข้าทำการค้าน้ำมันแข่งกับกระผม กระผมไม่ได้คิดจะแข่งกับใคร ขอให้ทุกคนได้ทำมาหากินกันโดยสงบ…”

จดหมายฉบับนี้ลงวันที่ 3 เม.ย.2557 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจค่าน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้กำลังถูกจับตาอย่างหนักจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และหลังจากนั้นในเดือน พ.ค.ปีเดียวกันภายใต้การปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสี่ยโจ้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนเข้าตรวจค้นสำนักงานอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เจ้าหน้าที่ยึดตู้เซฟใส่เงินสดได้ถึง 8 ตู้ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท และตัวเสี่ยโจ้เองก็ถูกควบคุมตัวสอบสวนในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 2 อาทิตย์ ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวและหลบหนีคดีปลอมแปลงเอกสารไปในที่สุด

ช่วงนี้เองแหล่งข่าวที่อ้างว่าเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของเสี่ยโจ้ ได้เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ว่า การรับส่วยของตำรวจน้ำในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไม่ได้รับแต่เฉพาะเงินสดอีกต่อไป เพราะสถานการณ์หลังการรัฐประหารและการจับกุมเสี่ยโจ้ ทำให้การเก็บส่วยน้ำมันเถื่อนจะต้องทำอย่างระมัดระวังกันเป็นพิเศษ

ตำรวจน้ำในท้องที่หนึ่งจึงนำเรือประมงเวียดนามที่จับกุมได้มาดัดแปลงทำสีใหม่ และใส่เครื่องยนต์ที่มีแรงม้าสูงกว่าเรือประมงทั่วๆ ไป ตำรวจน้ำนำเรือลำนี้ตระเวนออกเก็บส่วยน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ลอยลำอยู่ในอ่าวไทย บริเวณระหว่างเขตน่านน้ำไทยกับเขตน่านน้ำสากล

“ตำรวจที่มากับเรือลำนี้จะไม่เรียกเก็บเงินสด แต่จะเรียกเก็บส่วยเอาเป็นน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนลำละ 200-400 ลิตร เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนในอ่าวไทยไม่ได้มีอยู่ลำหรือสองลำ แต่มีอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ ลำ วันหนึ่งๆ เรือลำนี้จึงได้ส่วยน้ำมันนำกลับไปขายบนชายฝั่งรวมแล้วนับพันนับหมื่นลิตรทีเดียว”

แหล่งข่าวระบุว่าเรือลำดังกล่าวชื่อ “เรือโชคปรีชามหาสมุทร” แต่ไม่ได้บอกว่าเรือลำนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้หรือไม่ บอกเพียงว่าสายข่าวของกองทัพเรือเกาะติดความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
 
จดหมายร้องทุกข์ของเสี่ยโจ้เขียนถึง นช.ทักษิณ
ขณะที่แหล่งข่าวระดับดูแลศูนย์ข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ซึ่งเกาะติดข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า เครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้เป็นเพียงเครือข่ายเล็กๆ หากเทียบกับเครือข่ายของ “นาย ว.” อดีตนักการเมืองชื่อดัง ซึ่งขณะนี้กำลังหลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ และมีความใกล้ชิดกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร แบบสนิทแนบแน่น

สำหรับเครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนของ “นาย ว.” สามารถส่งน้ำมันไปขายตามปั๊มน้ำมันต่างๆ ได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะปั๊มที่มีสัญลักษณ์สีเขียว โดยไม่มีหน่วยงานไหนกล้าตรวจสอบ

“กรณีที่ กอ.รมน. ตั้งข้อสงสัยว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนจ่ายเงินสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่นั้น เรื่องนี้อาจจะยังขาดหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน แต่พบว่ากลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มก่อความไม่สงบก็คือ เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเมื่อมาไล่เรียงดูก็พบว่า เครือข่ายค้ายาเสพติดมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้ค้าน้ำมันเถื่อนอีกนั่นแหละ”
ประเด็นที่น่าติดตามคือ แก๊งสีกากีที่นำโดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นอกจากจะถูกกล่าวหาเรื่องรับส่วยจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อน แต่อีกข้อกล่าวหาที่สำคัญคือเรียกรับสินบนจากนายตำรวจที่ต้องการโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเสมือนบ่อเงินบ่อทองก็ว่าได้

ว่ากันเฉพาะในรอบกว่า 10 ปีนับแต่ไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุขึ้นมา แผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองให้กับการเรียกรับสินบนโยกย้ายในวงการตำรวจอย่างที่ว่านั่นเอง เพราะพื้นที่นี้ได้รับเงินงบประมาณปีละกว่า 1 แสนล้านบาท ตำรวจคนไหนที่ได้ย้ายลงมาประจำนอกจากเงินเดือนที่ได้รับอยู่แล้ว ยังได้เบี้ยเสี่ยงภัยเป็นพิเศษ ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งอย่างง่ายดาย และได้รับสวัสดิการกันแบบทวีคูณอีกด้วย

ที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ผืนแผ่นดินภาคใต้ดำรงความเป็นบ่อเงินบ่อทองให้กับคนในแวดวงตำรวจมาตลอด ไม่ว่าจะส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ค้ามนุษย์ข้ามชาติ ค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด หรือแม้กระทั่งการทำไม้เถื่อน ซึ่งอำนาจในการปราบปรามคดีความเกี่ยวกับคดีเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในมือของ “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” แทบทั้งสิ้น

เมื่อตำรวจสอบสวนกลางแก๊งนี้ถูกกระชากหน้ากาก จึงมีคำถามตามมาว่าในช่วงกว่า 10 ปีของการปะทุคุโชนเปลวไฟใต้ขึ้นมาใหม่ ระหว่างแก๊งตำรวจ ขบวนการทำธุรกิจผิดกฎหมาย และ โจรใต้ ใครกันแน่ที่เป็นพ่อค้าสงคราม!?
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น